xs
xsm
sm
md
lg

“ไม่ดีเบต” ไม่ใช่ “กลัวพูดเก่งไม่เท่า” แต่เพราะ “กลัวความจริง” (1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมได้ยินคนในระบอบประชาธิปไตยยังอยากเห็นกระบวนการประชาธิปไตย เป็นเพียง “เกมส์” ที่ต้องเป็นไปตามกติกาของตนเอง ขอให้ตนต้องได้เปรียบ หรือสิ่งเลวร้ายที่ทำต้องไม่ปรากฏแล้ว ผมยอมรับว่า “หนักใจ”

ก็ต่อเนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมา ใช้อำนาจมากมาย ครอบงำองค์กรตรวจสอบอิสระต่างๆ กดดันองค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ โกงได้โกงเอา แก้สัมปทานเอื้อมือถือ เอื้อไอทีวี ให้ธนาคารรัฐปล่อยกู้เพื่อกิจการตัวเอง ซีทีเอ็กซ์ ฯลฯ โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ?

กลไกประชาธิปไตยก็เปิดให้ผู้แทนราษฎรเข้าไปซักถามในสภาเพื่อตรวจสอบรัฐบาล ก็ห้ามแตะเรื่องทุจริตกิจการของครอบครัว ประชาธิปไตยถึงถูกทำลายด้วยคนที่มาจากประชาธิปไตยนั่นแหละครับ

แล้วก็ไม่ดีเบต ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาแล้วครับ ไม่เคยยอมดีเบต กับพรรคฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ดีเบต กับผู้ขุดคุ้ยเปิดโปงก็ไม่ดีเบต ผมไม่เชื่อว่ากลัวพูดเก่งไม่เท่า ผมว่าไม่จริงหรอกครับ

หากเราตามการเมืองมาโดยตลอด จะเห็นว่ายากที่จะมีคนที่ “พูดเก่ง” มารวมกันมากขนาดนี้ ทั้งป๋าหมัก ป๋าเหลิม เจ๊หน่อย ที่ต้องถอยไปก่อน (ถ้าเป็นช่วงที่ป๋าหมักแข่งกับ พ.ต.ท. ทักษิณ หรือ แข่งกับ เจ๊หน่อย ต่างฝ่ายต่างกล่าวถึงกัน จะนึกไม่ถึงว่า ที่แท้แล้วอยู่พรรคเดียวกันก็ได้) แม้กระทั่งอดีตผู้นำก็พูดเก่ง ทุกคนพูดเก่งหน้าตาย แต่ทำไมกลัวดีเบต ?

ผมไม่เชื่อว่า คารม ลีลาในการพูดของกลุ่มนักการเมืองเหล่านี้เป็นรองใคร ที่กลัวดีเบต จึงไม่ใช่กลัวว่า “พูดเก่งไม่เท่า” แต่เป็นเพราะ “กลัวความจริง” มากกว่า เพราะถ้ามีการดีเบต อาจถูกคำถามตรง ที่ประชาชนอยากถามตรงๆเพื่อให้โอกาสอธิบาย “ความจริง” (ถ้ามี) และในการดีเบตนั้น อาการของการพูดเท็จ จะยังแสดงให้เห็นได้ด้วยสายตา ปากสั่น ฯลฯ จึงดีกว่า (สำหรับผู้ต้องการปกปิดความจริง) ที่จะไม่ดีเบต

ผมเดาว่า “พูดคนเดียว” ดีกว่า เพราะ “กลัวความจริง” แต่ละเรื่อง ดังนี้

**พูดคนเดียว** : (วันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก) พ.ต.ท. ทักษิณ ออกรายการ “คมชัดลึก” กับ คุณสรยุทธ์ เมื่อถามว่า แอมเพิลริชของใคร ท่านตอบว่า “ของผม ‘ส่วนนี้’ เปิดเผยครับ ส่วนนี้แจ้งตลาดด้วยครับ” เมื่อถามว่า “แล้ววินมาร์คของท่านหรือไม่ ?” ตอบว่า “ไม่ใช่ครับ”

**กลัวความจริง** : ส่วนนี้เปิดเผย แสดงว่าส่วนไหนไม่เปิดเผย ? พูดเสมอว่าวินมาร์คที่ซื้อหุ้นประมาณ 1.5 พันล้านบาท ก่อนเลือกตั้งครั้งแรก เป็นนักลงทุนต่างประเทศธรรมดาๆ ถ้าเช่นนั้น ทำไมซื้อหุ้นไป 5-6 บริษัท ราคาพาร์ทุกบริษัท ทั้งที่มีมูลค่าไม่เท่ากัน กำไร/ขาดทุนต่างกัน ? ทำไม SC เข้าตลาดได้บริษัทเดียว แต่กลับขายไป 3 สัปดาห์ก่อนยื่นไฟลิ่ง ? และ ดีเอสไอ กับ สำนักงาน กลต. ก็พบหลักฐานว่ากองทุนเหล่านี้ มี พ.ต.ท. ทักษิณ และภรรยาเป็นเจ้าของที่แท้จริง และ คตส. พบว่า วินมาร์ค มีเลขบัญชี 121751 ถือหุ้นชินฯ ด้วย ซึ่งผิด พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้นในกิจการสัมปทาน

**พูดคนเดียว** : มันเป็นเพียงเรื่องการโอนหุ้นธรรมดาๆ ให้ลูก คนรวยแล้วด้วยธุรกิจจึงเข้ามาเล่นการเมือง ดีกว่าพวกที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหากิน “รวยแล้วไม่โกง”

**กลัวความจริง** : โอนหุ้นเป็นสิทธิขาดแล้วจริงหรือ ? ถ้าจริง เมื่อนายพานทองแท้ได้รับหุ้น 733.95 ล้านหุ้นจาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และ ภรรยา ในวันที่ 1 กันยายน 2543 ทำไมต้องมี “หนี้ซ่อน” อีก 4,500 ล้านบาทด้วย นอกจากนั้น การที่นายพานทองแท้ ชินวัตร โอนหุ้น SHIN ให้ น.ส. พินทองทา ชินวัตร ในวันที่ 9 กันยายน 2545 และวันที่ 4 มิ.ย. 2546 จำนวนรวมประมาณ 440 ล้านหุ้นที่ราคาพาร์ ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการรับโอนของ นาย พานทองแท้ ชินวัตร และการโอนหุ้นต่อให้น้องสาวเป็นความจริง เพราะภาระ “หนี้ซ่อน” ที่นายพานทองแท้ต้องรับบนหุ้น 733.95 ล้านหุ้นนั้น มีรวมถึงกว่า 4.5 พันล้านบาท แต่กลับยินดีโอนหุ้นให้ น.ส. พินทองทา เกินกว่าครึ่งคือ จำนวนรวม 440 ล้านหุ้น ที่ราคาพาร์ ทำให้ตนเหลือหุ้นเพียง 293.95 ล้านหุ้น น้อยกว่าน้องเสียอีก และตนยังต้องแบกภาระชำระหนี้คุณหญิง พจมาน ชินวัตรเพียงคนเดียว เป็นเงินกว่า 4.5 พันล้านบาทต่อไป จึงไม่น่าเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจโอนหุ้นด้วยตนเองในฐานะเจ้าของที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง

หุ้นที่โอนเป็นหุ้นที่เป็นกิจการสัมปทานโทรคมนาคมผูกขาด โดยอาศัยอำนาจรัฐ ในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ผลิตไฟฟ้า ค้าน้ำมัน ธนาคาร ฯลฯ ภาครัฐพึงให้เอกชนแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม แต่เมื่อเจ้าของธุรกิจ เข้ามารับตำแหน่ง จึงเกิดการเอื้อประโยชน์โดยนโยบายรัฐ เช่น ในปี 2543 ก่อนเป็นนายกฯ โทรศัพท์แบบพรีเพด หรือ โพสต์เพด ADVANC ก็อยู่ในเงื่อนไขเดียวกัน คือ ปีหลังจากนั้นจะเริ่มมีส่วนแบ่ง 25% ให้ ทศท. (อ้างอิงจากแบบ 56-1 ปี 2543) แต่ในปี 2544 หลังเป็นนายกฯไม่กี่เดือน แก้เงื่อนไขลดส่วนแบ่งค่าสัมปทาน สำหรับพรีเพดเหลือ 20% ให้ ทศท. (อ้างอิงจากแบบ 56-1 ปี 2544) ทำให้รัฐเสียประโยชน์เป็นมูลค่าปัจจุบันรวมกว่า 8 หมื่นล้านบาท กรณีไอทีวี ก็มีการลดประโยชน์ภาครัฐมากมาย กรณี ธ. เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้รัฐบาลพม่าเพื่อเอื้อธุรกิจดาวเทียม ฯลฯ เป็นคำถามจริงๆว่า “รวยแล้วไม่โกง” จริงหรือ ? หรือ ปกติเขาโกงได้เป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ “รวยแล้วยิ่งโกงได้เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท” หรือเปล่า ?

**พูดคนเดียว** : คนเก่งจับอะไรก็ขึ้น ซื้อสโมสรฟุตบอลอังกฤษ ได้เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ และกำลังรับดารานักเตะฟุตบอลไทยไปเตะในระดับนานาชาติ

**กลัวความจริง** : ที่ซื้อทีมฟุตบอลใช้เงินที่โอนไปตั้งแต่เมื่อใด ? ตรงตามที่ นาย เสนาะ เทียนทองเคยปราศรัยที่สนามหลวงไว้หรือไม่ว่า เป็นเงินกำไรจากการค้าค่าเงินบาทปี 2540 เผาบ้าน (เมือง) เอาประกัน ชาวบ้านขาดทุนถ้วนหน้า ทำกำไรคนเดียว จะว่าไป กำไรคนเดียวก็ไม่แปลกนัก แต่ผู้คนสังเกตกันได้ว่า มีการส่งอดีตผู้บริหารฝ่ายการเงินกลุ่มชินฯไปนั่งเป็น รมว. คลังช่วงนั้นด้วย

ประชาชนในระบอบประชาธิปไตย น่าจะมีสิทธิได้ชมการดีเบตระหว่างผู้อาสาตัวมาเป็นผู้บริหารอำนาจรัฐ ไม่ใช่นึกจะไม่อยากดีเบต ก็ไม่ดีเบต เป็นการริดรอนสิทธิของประชาชนเทียบกับประชาธิปไตยในอารยประเทศ หากยังไม่ยอมดีเบต ผมก็จะขอแลกเปลี่ยนมุมจากข้อมูลที่ได้รับทราบติดตามอยู่ ว่าคงเป็นเหตุที่ทำให้อยาก “พูดคนเดียว”

ผมยังเชื่อว่าที่ไม่อยากดีเบต ต้องพูดคนเดียว คงไม่ใช่เพราะกลัว “คารม” แต่คงเป็นเพราะกลัว “ความจริง” มากกว่า

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น