xs
xsm
sm
md
lg

หลักธรรมสำหรับสถานการณ์ในไทย (35) : อย่าเป็นพยานเท็จ (2) เพื่อทดแทน “หนี้แผ่นดิน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมนึกถึงคำๆหนึ่ง คือ คำว่า “หนี้แผ่นดิน” ทำให้ผมรู้สึกว่า หากคนไทยรู้คุณค่าว่า เราเกิดมาบนแผ่นดินไทย ในครอบครัวที่ได้ทำมาหากินบนแผ่นดินไทย เราเองก็ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ (จนเป็นหนุ่มในขณะนี้) ได้รับการศึกษา ได้รับโอกาสทำงานในแผ่นดินไทย เราควรระลึกว่าเราได้รับพระคุณของแผ่นดิน และควรที่จะทำความดีให้ส่วนรวม เพื่อทดแทน “หนี้แผ่นดิน” ที่เรามีอยู่

บางคนมีความคิดเรื่อง “หนี้” ในชีวิตอย่างผิดๆ เกิดมาก็รู้สึกเหมือนว่า “พ่อแม่ค้างหนี้เรา” ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่ ภาษาจีนมีคำด่าที่เจ็บแสบคือคำว่า “ทอแจ๊เกี้ย” หรือ “ลูกทวงหนี้” คือ มีลูกแล้ว มาคอยแต่ทวงหนี้ทุกวี่วัน ทำให้พ่อแม่ต้องลำบากใจ ลูกๆทุกคนควรเข้าใจ เฉพาะการตั้งครรภ์ อุ้มท้อง คลอด เลี้ยงดูตั้งแต่ยังช่วยอะไรตัวเองไม่ได้ ก็นับว่าเป็นพระคุณยิ่งใหญ่ที่เราพึงตอบแทน ที่ “ลูกทดแทนหนี้บุญคุณพ่อแม่” ไม่ใช่ “ลูกทวงหนี้พ่อแม่”

บางคนทำงาน ก็เหมือนบริษัทค้างหนี้ตน เจ้านายค้างหนี้ตน แต่ในความเป็นจริง ทุกคนรักกัน ดีต่อกัน และมีบทบาทร่วมกันเพื่อสร้างผลงานที่ดีให้ลูกค้า และได้ผลตอบแทนมาแบ่งสรรกัน

คนไทยบางคนก็ไม่ควรคิดว่า เกิดมาแล้ว “แผ่นดินต้องเป็นหนี้เรา” เมื่อมีอำนาจ ก็โกงได้โกงเอา สร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ แทนที่จะได้ความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นการ “สร้างคุณค่า” ให้ส่วนรวม กลับเป็นวิธีสร้างสรรค์ที่ “ดูด” ประโยชน์ของส่วนรวมมาเป็นของส่วนตัวอย่างแยบยล เย้ยกฎหมาย

หลักธรรมาภิบาลของบริษัทมหาชน ห้ามบริษัทมหาชนทำธุรกิจกับกิจการส่วนตัวของผู้ถือหุ้นใหญ่ (หากทำจริงต้องเป็นธรรม และได้รับการยอมรับจากผู้ถือหุ้นอิสระ) ก็เพราะกลัวผู้ถือหุ้นใหญ่เอาเปรียบบริษัทมหาชน

พ.ร.บ. ปปช. มาตรา 100 จึงกำหนดชัด ไม่ให้ผู้มีอำนาจมีหุ้นธุรกิจส่วนตัว โดยเฉพาะหุ้นประเภทสัมปทาน เพราะป้องกันไม่ให้คนมาเอาอำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์กิจการของตนเอง บนการเสียประโยชน์ของภาครัฐ แต่กลับมีการคิดวิธีการมากมายเพื่อ “ซุกหุ้น” และมาการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์กิจการของตนมากมาย

ผมแปลกใจที่ คตส. ได้แถลงผลงานการตรวจสอบ แสดงหลักฐานมากมาย 3 สัปดาห์ ทนายอดีตนายกฯ ไม่มีคำชี้แจงอธิบายใดๆ ต่อคำถามดังตัวอย่าง 7 ข้อที่ได้เสนอในสัปดาห์ที่แล้ว แต่กลับเรียกร้องให้ยกเลิก คตส. เพียงกล่าวว่า “ไม่มีผลงาน”

ผมดีใจที่ คตส. บอกว่า เป้าหมายคือ รวบรวมหลักฐานเพื่อนำเรื่องทุจริตนี้ ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่อยากให้คนไทย ถูกทำให้เชื่อว่า ตัดสินทิศทางบ้านเมืองตาม “พวกรัก” และ “พวกไม่รัก” เท่านั้น นั่นทำให้แผ่นดินแตกแยก ตามเพลงที่ผมได้ฟังตั้งแต่เด็กว่า “คนใดยุยงปลุกปั่น” ให้เกิดความแตกแยก คนเช่นนั้น เป็นคน “หนักแผ่นดิน”

ผมอยากให้คนไทยทุกคน รักกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แบ่งพวก ใครที่ไม่รักอดีตนายกฯ ก็ติดตามหลักฐาน หากชี้แจงได้เข้าใจความสุจริต ก็ควรยอมรับอย่างเปิดใจ และเต็มใจ

ใครที่รักอดีตนายกฯ ก็ติดตามหลักฐาน หากชี้แจงได้เข้าใจความสุจริต ก็ภาคภูมิใจและรักท่านมากขึ้น แต่ถ้าพบความทุจริต ก็คิดให้ดีว่า เรารักเขาที่ปกครองแล้ว “เราอาจได้ประโยชน์เป็นร้อยเป็นพัน แต่เขาฟันทีเป็นแสนๆล้านบาท” (ดังที่เห็นทั้งในประเทศ แม้ยังไม่เห็นในต่างประเทศ แต่เห็นว่ามีเงินซื้อสโมสรฟุตบอลมูลค่ามหาศาล โดยปกปิดทรัพย์สินอีกเช่นกัน) อย่างนี้จะดีหรือ ? ประโยชน์ที่เราได้เองก็มาจากภาษีของประชาชนนั่นเอง หลายส่วนก็ซุกหนี้ซ่อนหนี้ไปให้ลูกหลานเราในอนาคตเป็นภาระให้รัฐบาลต่อไป เป็นแสนๆล้านบาทอีกเช่นกัน (เช่น ตั๋วเงินคลัง กองทุนศูนย์ราชการ ภาระรับซากบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ)

ผมจึงจะขอเรียบเรียงรายละเอียดที่ผมได้ติดตามรวบรวม เพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจ และรอคอยดูหลักฐานหักล้าง โดยยึดหลัก “อย่าเป็นพยานเท็จ” ร่วมกัน โดยเริ่มจาก คู่แฝดต่างประเทศ ดังนี้

"วินมาร์ค (WM) ใช้ซุกหุ้น SHIN ด้วย ไม่ใช่ใช้ซุกเฉพาะหุ้นกลุ่ม SC โดยใช้ร่วมกับ แอมเพิลริช (ARI) ด้วย"

กรณี วินมาร์ค ซุกหุ้นกลุ่ม บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชัน (SC) นั้น กลต. และดีเอสไอพบหลักฐานแล้ว จึงกล่าวโทษว่าเป็นโนมินีถือหุ้นแทน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในการถือหุ้น SC แต่หลักฐานเพิ่มเติมที่ คตส. พบ คือ วินมาร์ค ถือหุ้น SHIN ด้วย !! (เป็นความผิด พรบ. ปปช. มาตรา 100 ที่ชัดเจนแล้ว)

1.ในวันที่ 24 สิงหาคม 2544 UBS ทำรายงาน 246-2 ต่อสำนักงาน กลต. โดยนับหุ้น SHIN จำนวน 10,000,000 หุ้น ของ ARI รวมกับหุ้นอีกจำนวนอีก 5,405,913 หุ้น ทั้งนี้ มีหลักฐานว่าเป็นหุ้นของวินมาร์ค (โนมินีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ตามข้อกล่าวโทษของดีเอสไอ) รวมเป็น15,405,913 หุ้น (พาร์ 10 บาท) คิดเป็นร้อยละ 5.24 ซึ่งหนังสือของสำนักงาน กลต. ที่ได้แถลงในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 ก็ระบุว่า “เอกสารดังกล่าวเป็นความผิดพลาด เพราะมิได้เป็นการซื้อผ่านตลาดหลักทรัพย์ที่ราคา 179 บาทแต่อย่างใด” ก็เป็นหลักฐานยืนยันการนับหุ้น 10 ล้านหุ้นของ ARI และอีกกว่า 5 ล้านหุ้นของ WM เป็นของเจ้าของเดียวกัน เพราะไม่ได้เป็นส่วนที่ผิดพลาด (หากผิดตรงนี้ คงบอกได้ว่าผิดทั้งฉบับ เพราะหัวใจของ 246-2 คือเรื่องการนับหุ้นผ่าน Trigger Point ทุก 5% อยู่แล้ว)

2.พบบัญชีวินมาร์ค มี รหัสบัญชี 121751 ที่ ธ. ยูบีเอส สิงคโปร์ ถือหุ้น SHIN ด้วย สอดคล้องกับข้อมูลตามทะเบียนหุ้นจากฐานข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ในชื่อบัญชี UBS AG Singapore Branch - Pledge A/C – 121751 ในช่วง 2544 ถึง 2546 ซึ่งถือหุ้นประมาณ 54 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) ที่ถูกนับรวมว่าเป็นเจ้าของเดียวกับหุ้นของ ARI ดังกล่าว ผู้สนใจสามารถเปิดดูข้อมูลในระบบ SET SMART ก็จะเห็นชื่อบัญชีนี้ปรากฏอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครทราบมาก่อนว่าเป็นรหัสของวินมาร์คนั่นเอง จึงเข้าใจได้ว่า ทำไม ธ. ยูบีเอสจึงนับรวมกัน ก็เพราะเห็นว่าเป็นหุ้นของแอมเพิลริช 10 ล้านหุ้น และของวินมาร์ค 5.4 ล้านหุ้น ซึ่งมีเจ้าของแท้จริงคือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรคนเดียวกันนั่นเอง

3.UBS ส่งหุ้นไปเข้าบัญชี UOB Nominee Private Limited เพื่อบัญชี Win Mark จำนวน 18,048,870 หุ้น ในวันที่ 19 กันยายน 2545 โดยตัดหุ้นจากบัญชีที่ถือหุ้น ARI และต่อมา UBS ตัดหุ้นจากบัญชี Pledge A/C – 121751 (Win Mark) จำนวน 17,000,000 หุ้น มาชดเชยบัญชี ARI ในวันที่ 4 ตุลาคม 2545 ทำให้หุ้นในบัญชี Pledge A/C – 121751 ดังกล่าว ลดลงจาก 53,642,130 หุ้น เหลือ 36,642,130 หุ้น เป็นหลักฐานยืนยันว่า ARI และ WM เป็นของเจ้าของเดียวกัน จึงตัดหุ้นกว่า 18 ล้านหุ้นจากบัญชี ARI ส่งไปเข้าบัญชี WM ที่ UOB และตัดหุ้นจากบัญชี WM มาคืนเพียง 17 ล้านหุ้นก็ทำได้ ทั้งนี้รายการรับส่งหุ้นต่างๆเหล่านี้เป็นรายการที่ไม่มีการชำระเงินแต่อย่างใด

อยากสนับสนุนให้ทุกฝ่ายพูดคุยกันที่หลักฐานมากกว่า เพื่อความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุกฝ่ายยึดหลัก “ไม่เป็นพยานเท็จ” ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด เพื่อทดแทน “หนี้แผ่นดิน” ร่วมกันครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)

กำลังโหลดความคิดเห็น