xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหุ้นเริงร่า ... รับร่างรัฐธรรมนูญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังจากที่ประชาชนชาวไทยได้มีส่วนร่วมในการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญกันเรียบร้อย เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา น่ายินดีที่มีประชาชนมาลงมติออกเสียงถึงร้อยละ 57.61 และเห็นชอบสูงถึง 57.81 ไม่เห็นชอบ 42.19 ก็นับว่าได้รับคะแนนเสียงรับรองสูงกว่าที่ไม่รับพอสมควรถึง 36.5% (57.81 เทียบกับ 42.19) ประกอบตลาดหุ้นต่างประเทศก็ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า ตลาดหุ้นไทยจึงเริงร่าขยับขึ้นกว่า 30 จุด นับว่า เป็นบรรยากาศที่สดใสอีกครั้งหนึ่ง

หลักการสำคัญที่ผมเคยได้เรียนอยู่เสมอคือ ศัตรูตัวฉกาจของตลาดหุ้นคือ “ความไม่แน่นอน” เมื่อใดที่ความไม่แน่นอนสูง ตลาดหุ้นก็ผันผวน ซบเซา เมื่อใดที่ความไม่แน่นอนคลี่คลาย (ไม่ใช่หมดไป เพราะ “ความไม่แน่นอน” ไม่มีทางหมดไปอย่างแน่นอน) ตลาดหุ้นก็จะดีขึ้น

ที่ผ่านมา ไม่ว่าเป็นเรื่อง ซาร์ส ไข้หวัดนก สงคราม การก่อการร้าย ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาตลาดสินเชื่อกลุ่มซับไพรม์ ฯลฯ ก็ถล่มตลาดหุ้นเพราะสร้าง “ความไม่แน่นอน” ทำให้นักลงทุนยังเดาไม่ออกว่าปัญหาจะยังมีอีกเพียงใด จะจบหรือไม่ บางครั้ง ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ซบเซาหลายเดือน

กรณีความไม่แน่นอนทางการเมืองในครั้งนี้ ได้ทำให้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในสภาวะที่ซบเซามากว่า 2 ปี ดีที่ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวตลาดหุ้น อยากเห็นความสับสน ความไม่แน่นอนต่างๆคลี่คลายมากกว่า ส่วนใหญ่ก็คงหวังว่าจะมีการรับร่างรัฐธรรมนูญเรียบร้อย นำไปสู่การเลือกตั้งในช่วงปลายปี และหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะนำไปสู่ความเรียบร้อย

หลายคนยังอาจรู้สึกถึงรอยร้าว จากการสร้างความแตกแยกในสังคมไทย ผมเชื่อมั่นว่า เราคนไทยทุกคน มีส่วนร่วมกันกำหนด อยากให้เมืองไทยเดินหน้าไปได้อย่างดีเพียงใด โดยนำสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมานั้น เป็นบทเรียนเพื่อความสร้างสรรค์หลายประการ ดังนี้

1.ยึดมั่นในความรู้รักสามัคคี เช่นเดียวกับที่ ครอบครัวจะมีพลังเมื่อมีความรักกันอบอุ่น องค์กรมีความเข้มแข็งเมื่อมีความรักความสามัคคีเข้าใจกัน ประเทศชาติจะเจริญและเข้มแข็ง เมื่อประชาชนรักและสามัคคีกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ในความรักความสามัคคี ประชาชนจะต้องไม่ถูกแบ่งแยก ในทุกยุคทุกสมัย ประเทศชาติล่มจม เพราะเริ่มจากการถูกทำให้แตกแยก “พวกนั้นเป็นพวกเขา” “พวกนี้เป็นพวกเรา”

2.สาระ สาระ สาระ “พวกใครมีอำนาจ พวกนั้นก็เป็นฝ่ายถูก” “ตอนขาดอำนาจ ก็กลายเป็นคนผิด” “พวกตัดสินให้คนมีความผิด ก็คือเป็นปรปักษ์” ผมว่าถ้ายึดกันอย่างนั้น ประเทศก็แตกร้าว ขาดความชอบธรรม ถ้ายึดหลัก “พวกมากเป็นฝ่ายถูก” ก็จะมีแต่เพียงการเอาใจกัน ซึ่งหลายครั้ง การเอาใจก็ไม่เป็นผลดี เช่นเดียวกับการเอาใจเด็กมากเกินไป เด็กก็อาจไม่รู้อะไรถูก อะไรผิด เติบโตช้า อาจถูกเอาใจจนไม่สามารถเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งช่วยตัวเองได้

สาระจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราจึงต้องมีหลัก “นิติธรรม” ที่ตัดสินความถูกผิดตามหลักฐานและกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ เรื่องต่างๆ ที่ค้างคาใจในอดีต เมื่อองค์กรอิสระเช่น คตส. ดีเอสไอ ได้สืบพบหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า มีการปกปิดโครงสร้างการถือหุ้น หรือ “ซุกหุ้น” เอสซีแอสเสท และชินคอร์ป ผ่าน วินมาร์ค และแอมเพิลริช จะเป็นการดีต่อผู้ถูกกล่าวหาอย่างยิ่ง หากจะออกมาแสดงหลักฐานต่อสู้กัน อธิบายกัน ประชาชนไม่น้อยที่ยังเห็นส่วนดีของอดีตผู้นำก็คอยเอาใจช่วยอยู่ คอยฟังอยู่มากมาย ไม่ใช่ต้องรอมีอำนาจ จึงชี้แจง เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีอำนาจ ไม่เคยคิดชี้แจงเลย สมาคมนักข่าว ถึงกับเคยใช้คำว่า “หนีตอบวินมาร์คสุดชีวิต” ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร จะทำหน้าที่ตามระบอบประชาธิปไตยในสภาเพื่อซักถามเรื่องเหล่านี้ ก็กลับชิงยุบสภาไป ทำให้ประชาธิปไตยไทย ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยคนที่มาจากการเลือกตั้งเอง

รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ ก็มีสาระที่ไม่ด้อยกว่าเมื่อปี 2540 ผมและชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย เคยสนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2540 จึงได้จัดกิจกรรม “สีลม สีเขียว สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ 2540” ก็ได้มีมติ เห็นชอบที่จะสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ 2550 เช่นกัน เพราะสาระก็มีดีไม่ด้อยกว่ากัน และมีหลายจุดที่ดีกว่าเดิมด้วย

ไม่มีรัฐธรรมนูญใด ที่สามารถจะมีรายละเอียดถูกใจคนทั้งประเทศได้ (ฉบับปี 2540 ก็เช่นกัน) แต่เมื่อมีการร่างกันจากผู้เชี่ยวชาญที่หลากหลาย รับฟังประชาชนอย่างกว้างขวาง และได้แก้ไขปรับเปลี่ยนสาระสำคัญหลายเรื่องตามที่ได้รับฟังประชาชนมา ก็ถือได้ว่า เป็นรัฐธรรมนูญที่มีสาระดี เป็นประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิ และผลประโยชน์คนไทยได้ดี ควรที่ชาวไทยจะหวงแหนตามที่ได้ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญไปเรียบร้อย

ผมเห็นผู้คัดค้าน มักจะเน้นเพียงรูปแบบภายนอก ไม่เน้นเรื่องสาระเป็นจุดๆ หลังจากที่ได้มีการเปิดเวทีให้มีการดีเบต ตั้งคำถาม ตอบคำถาม แสดงความเห็นด้วยเห็นแย้งกันไป เสียงการลงประชามติ ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นเสียงสวรรค์ของคนไทยอย่างแท้จริง

ผมจึงคิดว่า หากเรายึด “สาระ สาระ สาระ” ทำให้เราไม่ถูกทำให้เชื่อว่า ชาวไทยถูกทำให้แตกแยกเป็นฝั่งฝ่าย ทุกคนรักกัน ปรารถนาดีต่อกัน หวังว่าทุกคนจะดีต่อกัน พิจารณาความถูกผิดการตาม “สาระ” และ “หลักฐาน” ผมเชื่อว่า เราก็จะยังคงเป็นบ้านเมืองที่ดำรงในหลัก “นิติธรรม” และทำให้มั่นคง ไม่แตกแยกอีกต่อไป

3.เดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ในฐานะฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ก็ยังมีจุดยืนอยู่เสมอว่า “ประเทศไทยจะก้าวหน้ายาวไกล เมื่อประชาธิปไตยมั่นคง” เราเห็นปัญหาประชาธิปไตยถูกละเลยในช่วงรัฐบาลที่แล้ว สภาไม่สามารถทำงานได้ มีแต่ “เงิน” และ “อำนาจ” เพื่อประโยชน์ส่วนตัว จนภาระที่ซุกซ่อนไว้กับลูกหลานไทยในภายภาคหน้าน่าเป็นห่วง จึงทำให้เราต้องเผชิญกับการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน และกลายเป็นว่า ประชาชนมากมาย ได้ออกไปให้ดอกไม้ให้กำลังใจกับผู้ก่อการรัฐประหาร

ดีที่คณะผู้ก่อการรัฐประหารนั้น กระทำด้วยเจตนาดี ทุกฝ่ายยืนยันจนทุกวันนี้ว่า เป็นเพียงการเข้ามาช่วยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านชั่วคราว แล้วจะเดินหน้าไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และการเลือกตั้งในปลายปี หวังว่า เราจะผ่านช่วงเวลา “พักความเป็นประชาธิปไตยชั่วคราว” นี้ไปให้เร็วที่สุด จะได้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้นเสียที และเชื่อว่าจะช่วยส่งผลดีให้ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องต่อไป

ในขณะนี้ พลังประชาชนได้บ่งชี้ว่า เสียงส่วนใหญ่ต้องการความสงบ ลดความไม่แน่นอน รับร่างรัฐธรรมนูญด้วยการลงประชามติอย่างเป็นธรรม และเตรียมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง หวังว่า ไม่มีใครคิดจะทำให้เส้นทางนี้เฉไฉไป ไม่ว่าจะเป็นการป่วนการรับร่างมติรัฐธรรมนูญ หรือป่วนการเลือกตั้ง หรือการสืบทอดอำนาจปกครองของคณะทหารออก เพราะที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่า พลังประชาชนเข้มแข็ง และผู้ที่ฝืน หวังอำนาจเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนมาสักครั้ง หวังว่า ทุกฝ่ายจะร่วมมือให้เกิดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในปลายปี จะเป็นคุณูประการต่อประเทศอย่างยิ่งต่อไป

จากการที่ตลาดหุ้นไทยตกตามนานาชาติ อันเนื่องมาจากปัญหาตลาดสินเชื่อซับไพรม์ ทำให้เรามีพีอีกลับมาอยู่ที่ประมาณ 11 เท่าอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทิศทางบ้านเมืองไทยดีขึ้น มีการรับร่างรัฐธรรมนูญเรียบร้อย เตรียมการไปเลือกตั้ง ก็นับว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจต่อการเข้ามาทยอยลงทุนจริงๆครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น