xs
xsm
sm
md
lg

หลักธรรมสำหรับสถานการณ์ในไทย (28) : สิ่งที่ “น่ารัก” คือ “ความรัก” นั่นเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จาก “สิ่งที่น่ากลัว คือ ความกลัวนั่นเอง” “สิ่งที่น่าเศร้า คือ ความเศร้านั่นเอง” และ “สิ่งที่น่าโกรธ คือ ความโกรธนั่นเอง” ผมมีแรงบันดาลใจที่อยากจะเสนอตอนจบด้วย “สิ่งที่น่ารัก คือ ความรักนั่นเอง”

ผมอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ข้างๆลานน้ำพุเล็กๆ ครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่ง กำลังดูลูกตื่นเต้นกับน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาลำเล็กๆ คุยเล่นกันยิ้มแย้มสนุกสนาน ผมดูการแต่งกายก็ไม่น่าจะใช่คนร่ำรวย แต่เชื่อได้เลยว่า ครอบครัวเขากำลังมีความสุข เพราะเขามีความรัก

บางครอบครัว มีเงินมากมาย แต่กลับขาดสันติสุข ขาดความรัก ทะเลาะกัน ไม่รักกัน ก็ปราศจากความสุข

ผมไม่เชื่อว่า ความจืดจางในความรัก ที่ทำให้เป็นทุกข์นั้น จะหมายความว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” กลับกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการยืนยันว่า ที่ใด “มีรัก” ที่นั่นมีสุข และที่ใด “ขาดรัก” ที่นั่นต่างหากที่มีทุกข์ ส่วนมากเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะความรัก แต่เพราะรักกันไม่พอ หรือรักกันไม่เป็นต่างหาก

บางครั้ง เราอาจถูกทำให้เชื่อว่า “ใครที่มีสมบัติมาก ก็มีความสุขมาก” แต่เราก็เห็นครอบครัวร่ำรวย ขาดความรักความอบอุ่นก็หาความสุขได้ยาก ครอบครัวยากจน แต่รักกัน เป็นกำลังใจให้กันเสมอ ก็มีความสุข ทั้งนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้สับสนว่า “มีสมบัติมาก จะเป็นความทุกข์” เพราะผู้มีสมบัติมาก อันมาจากการสร้างผลงานที่สร้างสรรค์ และสุจริต และยังรักษาความรักที่มีต่อคนรอบข้างได้ ก็มีความสุขได้

จริงๆแล้ว “ความสุข” เป็นอิสระจาก “สมบัติ” รวยก็สุขได้ จนก็สุขได้ และรวยและคิดผิดก็ทุกข์ได้ จนและคิดผิดก็ทุกข์ได้เช่นกัน แต่ขอเพียงแต่อยู่ใน “ความรัก” และ “ความดี” ต่างหากที่ทำให้เรามี “ความสุขแท้” จึงอย่าให้เรื่องสมบัติ มาทำให้ความรักเสื่อมไปจากเราได้

ดังหลักคำสอนว่า “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ หรืออุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้ แม้ว่าคนใดจะเอาทรัพย์สมบัติในเหย้าเรือนของตนทั้งสิ้นมาแลกกับความรักนั้น คนนั้นคงได้รับความหมิ่นประมาทจากคนทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง”

ความ “รักโลก” ทำให้เราเชื่อและจึงเห็นว่า โลกนี่ถูกสร้างมาอย่างดี สรรพสิ่งที่มีสำหรับนั้นมากมายเหลือเกิน สมัยอาดัมกับเอวามีสวนเอเดนอย่างดี มีพืชและสัตว์มากมายให้ครอบครอง ในยุคเรา มีถนน มีน้ำประปา มีไฟฟ้า มีสนามบิน มีแหล่งท่องเที่ยว มีสวนสาธารณะ มีผู้ผลิตและขายสินค้าและบริการให้เรามากมาย มีผู้เป็นลูกค้าต่อสินค้าและบริการเรามากมาย

ความ “รักกัน” ทำให้เราเชื่อและจึงเห็นคุณค่าของกันและกัน ความ “รักกันเป็น” เห็น “ส่วนที่ดี” ของกันและกัน คู่รัก คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนในกลุ่มใดๆในสังคม เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ก็จะเห็นทั้งด้านดี และด้านที่เราคิดว่าไม่ดี แล้วขึ้นกับว่า เราเลือกจะสะสม และจดจำส่วนดี หรือส่วนไม่ดี หากเรา “รักกัน” เราก็จะเลือกมองส่วนที่ดี เห็นส่วนที่ดี และจะจดจำส่วนที่ดี แล้วเราก็จะไม่พลาดพระพรที่เราจะได้รับจากคู่ชีวิตนี้ ครอบครัวคนนี้ เพื่อนร่วมโลกคนนี้ไปเลย แต่หากเรา “ไม่รัก” เราก็จะมองส่วนไม่ดี จดจำส่วนไม่ดี และจะพลาดพระพรที่ได้จากเขาคนนั้นไปในที่สุด

ความ “รักชีวิต” ทำให้เรามีความเพียงพออย่างสุขใจในชีวิตของเราเสมอ เราจะเชื่อว่า ชีวิตที่เราเป็นอยู่ เป็นความสุข ไม่มีใครอยู่ในโลกแต่เพียงคนเดียวได้อีกแล้ว เราควรเรียนรู้ว่า คนในโลกถูกสร้างมาให้ “สัมพันธ์” กัน เป็นดังอวัยวะของการเดียวกัน เราทุกคนที่พึ่งพา และเป็นที่พึ่งต่อกันและกัน จึงเป็นเรื่องดียิ่งที่เราเลือกทำงานหน้าที่หนึ่ง เพื่อคนอื่นๆ และด้วยเราต้อง “สัมพันธ์” และ “พึ่งพา” กัน สิ่งที่สำคัญจึงคือ “ความรัก” และความเชื่อว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข ที่ใดขาดรัก ที่นั่นมีทุกข์”

หลายครั้งที่เรามีความกลัว ความรัก และความเชื่อในความรักจะทำให้เราชนะความกลัวได้

ผมนึกถึงความรักของแม่ ความรักที่แม่มีต่อลูก ทำให้แม่ไม่กลัวที่จะอุ้มลูกน้อยในท้องกว่า 9 เดือน ไม่กลัวเจ็บที่จะต้องคลอดลูก จะต้องเสียเลือดมากมาย พ่อแม่ไม่กลัวเหนื่อยที่จะต้องตื่นขึ้นมาดึกๆดื่นๆ เลี้ยงดูแลลูกๆ (พ่ออย่างผมก็ไม่กลัว เพราะดูแลเพียงบางคราว ด้วยภรรยาแรงดี)

ความเชื่อในความรัก ก็ทำให้เราไม่กลัว เด็กน้อยจะกลัวเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้า แต่ไม่กลัวเมื่ออยู่กับพ่อแม่ ตอนไปสวนสัตว์ เมื่อเจอสัตว์ที่ดูน่ากลัว ก็กอดพ่อแม่ เพราะความเชื่อในความรักของพ่อแม่ ทำให้เด็กหายกลัวได้

ชีวิตเราทุกวันนี้ก็เช่นกัน ความเชื่อในความรักของพ่อแม่ และพระเจ้าผู้อยู่เบื้องบนซึ่งตาเรามองไม่เห็น (แต่เราเห็นและรับความรักได้ด้วยความเชื่อ) ก็ทำให้เราพ้นจากความกลัวต่อปัญหาและสถานการณ์ไปได้ ผมเคยอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัว เดินในซอยเปลี่ยวมีสุนัขเห่าไล่หลังจากสอนหนังสือเสร็จ เดินในที่มืดๆ เวลาตีสองตีสาม รณรงค์ “สีลม สีเขียว” สนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2540 และ จะร่วมรณรงค์ “สนับสนุน” ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ด้วย (เพราะเป็นประชาธิปไตยและสาระดีไม่น้อยกว่าเดิม) ทุกครั้งที่เผชิญปัญหาหนักน่ากังวล ความเชื่อในความรักจากเบื้องบน ก็ช่วยให้เข้มแข็ง ไม่โดดเดี่ยว และทำให้เกิดความกล้าหาญที่เอาชนะความกลัวไปได้

หลายครั้งที่เรามีความทุกข์ ความรักทำให้เราเป็นสุข และความเชื่อในความรัก ทำให้เราสุขใจได้ในทุกสถานการณ์

นึกถึงตอนเด็ก พ่อแม่ทำงานอย่างหนักเหน็ดเหนื่อย ใช้เราไปซื้ออาหารมารับประทาน ให้กำลังใจเราอ่านหนังสือ พ่อแม่เหน็ดเหนื่อยลำบากเพื่อลูกก็สุขใจ ลูกลำบากเล็กน้อยเพื่อพ่อแม่ก็สุขใจ และภาคภูมิใจ ที่ได้แสดงความรักต่อพ่อแม่และพระเจ้าเบื้องบน

ในเวลาที่เผชิญปัญหาหนักๆ เช่น ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ความเชื่อในความรักอันยิ่งใหญ่ ก็ทำให้ยังมีความหวังใจ ในช่วงที่หลายๆคนรู้สึกว่ายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เรายังเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ เรายังอธิษฐานได้ว่า “ในสวรรค์เป็นเช่นไร ให้เป็นเช่นนั้นบนแผ่นดินโลก” ได้ การมองไปที่ความรักยิ่งใหญ่ ความเชื่อในแรงแห่งรักอันยิ่งใหญ่ และการอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรักเป็นความสุขใจในทุกสถานการณ์ที่ไม่มีใครเอาจากเราไปได้จริงๆ

และทุกครั้งที่เรามีความโกรธ ความรักทำให้เราเอาชนะความโกรธ และความเชื่อในความรัก ทำให้เรามีกำลังที่จะรักเขาได้อย่างไม่มีเงื่อนไข พระอาทิตย์ส่องสว่างให้เราทุกคนฉันใด เราพึงรักทุกๆคนฉันนั้น

เราอาจถูกทำให้เชื่อว่า “ถ้าใจไม่รัก จะให้รักได้อย่างไร” Steven Covey ผู้เขียนหนังสือ “7 Habits of Highly Effective People” บอกว่า “รักเป็นกริยา” “ความรักที่เป็นความรู้สึก เป็นผลของความรักที่เป็นกริยา” กับคนๆหนึ่ง เราคิดรัก หรือคิดไม่รัก ได้เสมอ แล้วแต่เราเลือก ขอเพียงคิดรักเขา ก็จะรู้สึกรักเขาได้ และนาทีนั้น จะมีความสุขกว่านึกโกรธเขา

หรือเราอาจถูกทำให้เชื่อว่า “รักคนที่ดี อย่าสนับสนุนคนไม่ดี” สิ่งที่อันตรายยิ่งคือ การนำไปสู่การตัดสินคน ความขัดแย้งในสังคมตั้งแต่ระดับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนๆ ประเทศชาติ มักไม่ได้อยู่ที่พวกหนึ่งดี อีกพวกไม่ดี แต่เพราะแต่ละคนคิดเพียง “ฉันถูก เขาผิด” จนอาจไม่สนใจนักว่า มาตรฐานความถูกผิดคืออะไร (จึงต้องคิดอย่างอิสระจริงๆ)

สิ่งที่สำคัญจึงคือ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เราอยากให้ปฏิบัติต่อเรา อย่าตัดสินคน จากมุมของเรา หากเราเป็นส่วนหนึ่งในความขัดแย้ง พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา เริ่มที่ “ความรัก” “เชื่อในส่วนดีของเขา” และ “ไม่ตัดสินเขา” และลงท้ายด้วยการเอา “ความรัก” ผูกพันกัน

ถ้าเราส่งเสริม “ความรัก” ให้สานความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม สังคมก็มีความสันติสุข และมีพลังที่จะก้าวไปอย่างยั่งยืน เพราะ “สิ่งที่น่ารัก คือความรัก” นั่นเอง

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น