xs
xsm
sm
md
lg

หลักธรรมสำหรับสถานการณ์ในไทย (25) : สิ่งที่ “น่าโกรธ” คือ “ความโกรธ” นั่นเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้วที่ผมได้เสนอหลักธรรมที่สำคัญต่อสถานการณ์ไทยในปัจจุบันว่า “สิ่งที่น่ากลัว คือ ความกลัวนั่นเอง” ผมขอเสนอหลักธรรมที่สำคัญในครั้งนี้ว่า “สิ่งที่น่าโกรธ คือ ความโกรธนั่นเอง”

ปัญหาใหญ่ของบ้านเราในช่วงที่ผ่านมา คือ การถูกทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม ด้วยการไม่ให้คนได้รับรู้ข้อมูลที่เท่าเทียมกัน ไม่ถกให้เห็นความจริงบนหลักฐานต่างๆให้กระจ่าง มีการสร้างความรู้สึกว่า “ถ้าใครพวกมาก ก็เป็นผู้ชนะ”

ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเกิดความแตกแยก แตกกลุ่ม แตกก๊ก ไม่สิ้นสุด กล่าวกันว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา แตกแยกทั้งในที่ทำงาน ในชุมชน ในครอบครัวกันไปทั่ว

ทุกฝ่ายจึงควรละความโกรธ รักสามัคคีกัน มองที่หลักฐาน เนื้อหา ความจริง ในการตัดสินความถูกผิด จะได้ไม่แบ่งเป็นพวกใคร พวกใคร ทุกคนคือคนไทยที่รักชาติเหมือนกัน รักกันและกัน และรักความถูกต้องชอบธรรมเหมือนกัน มีหลักธรรมที่เตือนใจว่า “สิ่งที่น่าโกรธ คือ ความโกรธนั่นเอง” ดังนี้

1.“อย่าฆ่าคน” คือ “อย่าโกรธกัน” มีหลักธรรมอยู่ว่า

***** ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า "อ้ายโง่" ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า "อ้ายบ้า" ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก

เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน

จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ

เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ *****

หลักธรรมนี้ละเอียดอ่อนกว่าเพียง “อย่าฆ่าคน” โดยครอบคลุมถึง “อย่าโกรธกัน” คนไม่น้อยเมื่อโกรธใครแล้ว ก็จะตัดความสัมพันธ์ที่มีในใจ ก็เท่ากับเป็นการ “ฆ่าเขา” ในใจเรา

ผมเคยได้ยินผู้เปรียบเทียบว่า คนที่โกรธคนอื่น ก็เหมือนคนที่ชงยาพิษอยู่ข้างหน้าแล้วก็ดื่มเข้าไป ด้วยความปรารถนาให้คนที่เขาโกรธตายด้วยยาพิษนั้น แต่เขาก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งโกรธ และคนที่เขาโกรธก็ไม่ตาย แล้วเขาก็ยิ่งดื่มยาพิษเข้าไปอีก คนที่เขาโกรธก็ยังไม่ตายอีก จนท้ายที่สุด เขาก็เจ็บหนักทุกข์เศร้าขมขื่นด้วยยาพิษนั้นเอง

บางคนโกรธผู้อื่น ก็เข้าหาพระธรรมเพื่อสงบใจ ตัดความสัมพันธ์ให้ขาด แต่หาเข้าใจไม่ว่า พระธรรมที่แท้ ไม่ได้ปรารถนาให้ตัดความสัมพันธ์กัน แต่ปรารถนาให้รักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้นำเครื่องบูชามาถึงที่หน้าแท่นบูชาแล้ว หากระลึกได้ว่า มีเหตุขัดเคืองกับใคร ก็ให้ไปคืนดีกันก่อน อย่าถือว่า การเข้าหาพระธรรมเพียงพอที่จะทำให้เรายังโกรธเคืองหรือตัดความสัมพันธ์ที่ดีกับใครได้

2.“อย่ากล่าวโทษเขา” คือ “มองหาท่อนไม้ในดวงตาฉัน” มีหลักธรรมอยู่ว่า

***** อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น

เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง ท่านจงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ *****

หลายครั้งที่เรามักจะไป “พิพากษา” คนอื่น (ใช้สำนวนว่า “ตวง” ด้วยทะนาน) ท่านเคยทบทวนไหมครับ

... เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเขาเห็นแก่ตัว เราเองกำลังเห็นแก่ตัว

... เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเขาไม่เป็นมิตร เราเองกำลังไม่เป็นมิตร

... เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเขาหยิ่ง เราเองกำลังหยิ่ง

... เมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเขาไม่เห็นความตั้งใจดีของเรา เรากำลังไม่เห็นความตั้งใจดีของเขา ฯลฯ

ผมเคยบรรยายเรื่องนี้ว่า คนเราอาจจะมองผงในดวงตาผู้อื่น แต่ไม้ทั้งท่อนในตาเรา กลับมองไม่เห็น หลายคนที่ได้รับฟังก็รู้สึกถูกใจมาก แล้วสะกิดคนข้างๆว่า “นี่เธอ ฟังธรรมข้อนี้สิ เหมาะกับเธอมากเลย” แล้วผมก็อดถามไม่ได้ว่า สะกิดกันอย่างนี้นี่ “มองท่อนไม้ในตาเรา” หรือยังอยาก “มองท่อนไม้ในดวงตาคนอื่น” กันแน่ครับ

3.อย่าใช้วิธี “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” คือ “จงรักศัตรู” มีหลักธรรมอยู่ว่า

***** ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “ตาต่อตา และฟันต่อฟัน” ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย

ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาเสียด้วย

ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร

ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่าน ก็จงให้อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน

ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู”

ฝ่ายเราบอกท่านว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน”

ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม

แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ

ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ *****

มีหลักธรรมอีกว่า “ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง” การที่เราคอยมองตัวเรา ปรับปรุงตัวเรา ทำใจให้เป็นสุข ไม่โกรธใคร ปรารถนาดีต่อคนรอบข้างเสมอ เขาแรงมา เราก็ไม่ต้องแรงไป เขาโกรธ เขาก็ต้องเป็นทุกข์ เราก็ไม่ต้องโกรธเขา ใจเราก็ไม่เป็นทุกข์ ใจของเราก็เป็นสุข เราจึงควรอธิษฐานเผื่อเขาด้วย และเมื่อถึงวันพิพากษาเราก็มีความพร้อมที่จะรับการพิพากษานั้น

ความโกรธไม่ได้ทำให้ใครมีความสุข ขอชวนท่านทดลองอย่างหนึ่งครับ “ในนาทีที่ท่านคิดโกรธใครก็ตาม ท่านก็จะไม่มีความสุข แต่นาทีที่ท่านให้อภัยเขาได้ รักเขาได้ ท่านก็มีความสุข” จึงเป็นข้อสรุปจริงๆว่า สิ่งที่ “น่าโกรธ” ก็คือ “ความโกรธ” นั่นเอง

ประเทศไทยต้องไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของความโกรธ รักษาความรักความสามัคคี เราต้องไม่เชื่อว่า มี “พวกรัก” กับ “พวกไม่รัก” เรามีพวกเดียว คือ “พวกรักชาติไทย” และช่วยกันนำให้ไทยมีแต่ความสงบ สันติสุข รักสามัคคี มีมาตรฐานความชอบธรรมที่เที่ยงธรรม ประเทศไทยก็จะก้าวหน้ายั่งยืนครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น