สะใภ้เซ็นทรัล "สุรางค์รัตน์ จิราธิวัฒน์" นำ "พริวิเลจ สปา" โกอินเตอร์ ขายแฟรนไซน์กลุ่มทุนอสังหาฯรายใหญ่ของจีน ส้มหล่นหลังเจ้าของติดใจให้ออกแบบโรงแรมหรู-โครงการบ้านในเมืองซูโจด้วย ล่าสุดเตรียมเซ็นสัญญาขายแฟรนไซน์กลุ่มทุนอินเดีย 8 สาขา เล็งอนาคตร่วมทุนขยายสาขาเพิ่ม หลังเปิดมาแล้ว 5 สาขาทั่วโลก พร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านที่ภูเก็ต - เขาหลัก พุ่งเป้าชาวสแกนดิเนเวีย
นางสุรางค์รัตน์ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร ไทย พริวิเลจ สปา (ภรรยานายศักดิ์ชัย จิราธิวัฒน์) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินธุรกิจสปาภายใต้ชื่อ "ไทย พริวิเลจ สปา มาเป็นปีที่ 3 ปัจจุบันเปิดสาขาแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ สาขาพระราม 3, เซ็นทรัลเวิลด์ ภูเก็ต, สาขาเซี่ยงไฮ้ และสาขานิวยอร์ค ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงมีแนวคิดที่จะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ร่วมไปถึงการขายเป็นธุรกิจแฟรนไชน์ไปทั่วโลก เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย รวมไปถึงการส่งออกสินค้าไทยไปจำหน่ายยังทั่วโลก
โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาขายแฟรนไชน์ ให้แก่ กลุ่มแกรนด์ เซ็นทรัล โฮลดิ้ง ในนามบริษัท ไทย พริวิเลจ คอนเซ้าส์แทนท์ จำกัด ซึ่งกลุ่มทุนดังกล่าวนำโดยนาง เอมี่ พุน ประธานกลุ่ม เป็นนักลงทุนชาวฮ่องกง ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลจีน โดยมีโครงการอสังหาฯกว่า 10 โครงการมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท การขายแฟรนไชน์ดังกล่าว เพื่อนำไปเปิดให้บริการในโครงการ เล็คกาเลีย บูทีค ปสาแอนด์ รีสอร์ท (Regalia Boutique Spa & Resort) ในเมือง ซูโจ
ทั้งนี้ การขายแฟรนไชน์ดังกล่าว บริษัทจะต้องออกแบบและตกแต่งภายใน เพื่อให้ตรงกับคอนเซปต์ของ พริวิเลจ สปาด้วย การออกแบบดังกล่าวเป็นที่ชอบใจของเจ้าของโครงการเป็นอย่างมาก จึงให้ทีมออกแบบของบริษัทออกแบบให้ทั้งโครงการ โดยภายในโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย โรงแรมจำนวน 44 ห้องติดทะเลสาบ และในส่วนของสปาจำนวน 5 หลัง จะยื่นลงไปในทะเลสาบ
นอกจากนี้ กลุ่มแกรนด์ เซ็นทรัล ยังได้ความไว้วางใจจากรัฐบาลจีน ในการพัฒนาโครงการโรงแรมและที่อยู่อาศัยระดับ 5 ดาว โดยโครงการนี้จะเป็นการถมดินลงไปในทะเลสาบ เพื่อสร้างขึ้นเป็นเกาะจำนวน 3 เกาะ ประกอบด้วย เกาะที่ 1 เนื้อที่ 13 ไร่ พัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 75 ห้อง ภายใต้คอนเซปต์ ยูโรเปียนสไตส์, เกาะที่ 2 ขนาด 13 ไร่ พัฒนาเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ มีสระว่ายน้ำทุกหลัง จำนวน 21 ยูนิต ราคาหลังละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาะที่ 3 จำนวน 2 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ราคาหลังละ 200-300 ล้านบาท ทั้งนี้กลุ่มแกรนด์ เซ็นทรัล ได้ให้บริษัทไทย พริวิเลจฯ เป็นผู้ออกแบบโครงการให้ทั้งหมด
นางสุรางค์รัตน์กล่าวต่อว่า บริษัทโชคดีที่มีทีมออกแบบภายในของบริษัทเอง ซึ่งนอกจากออกแบบสปาสาขาในไทยแล้ว ยังออกแบบสปาสาขานิวยอร์ค และเซี่ยงไฮ้อีกด้วย ซึ่งทั้งสองเมืองนี้ถือเป็นเมืองปราบเซียนเลยก็ว่าได้ เมื่อสามารถผ่านเมืองที่หินที่สุดในโลกมาแล้ว ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะออกแบบในเมืองอื่นๆ โดยทีมออกแบบนี้มีใบอนุญาติ(ไลน์เซ็น)จากอเมริกา อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสมาคมสถาปนิกสยามอีกด้วย และก่อนพัฒนาโครงการ ต้องนำแบบไปเสนอรัฐบาลจีน ซึ่งต้องการคอนเซปต์ยูโรเปียนสไตส์ แต่ก็ได้รับอนุมัติในที่สุด
แม้ว่าการออกแบบภายนอกจะเป็นแบบยูโรเปียนสไตส์ แต่ทีมออกแบบได้ใส่ความเป็นไทยเข้าไปในวัสดุตกแต่งด้วย โดยกว่า 50% เป็นสินค้าไทย โดยเฉพาะเบญจรงค์ที่ออกแบบและสั่งทำขึ้นมาเอง คาดว่าสินค้าไทยที่นำไปตกแต่งนั้นมีมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นมูลค่าไม่สูงมาก แต่ถือว่าเป็นสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ในส่วนของโรงแรมยังมี ไทย พริวิเลจ สปาเปิดให้บริการอีกด้วย
ล่าสุด บริษัทได้เซ็นสัญญาระหว่างกลุ่มทุนอินเดีย และมุมไบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในการขายแฟรนไซน์ ไทย พริวิเลจ สปาให้แก่กลุ่มทุนอินเดีย 6 แห่งและมุมไบ 4 แห่ง สำหรับแฟรนไชน์แต่ละแห่งจะขายในราคา 1 แสนเหรียญสหรัฐ การออกแบบและตกแต่งภายใต้คอนเซปต์ของ ไทย พริวิเลจ และจะต้องสั่งซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับสปาจากบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนออกไปยังจีน อินเดียและประเทศอื่นๆ ซึ่งจะมีทั้งร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนในประเทศนั้นๆ และลงทุนเอง
นางสุรางค์รัตน์ เปิดเผยอีกว่า สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯในไทยนั้น ปัจจุบันพัฒนาใน 2 โครงการ ภายใต้บริษัท ไทย พรีวิเลจ มารีน่า รีสอร์ท แอนด์ สปา โดยร่วมทุนกับนายนรินทร์ แดงตะโคตร นักลงทุนชาวไทยที่ไปลงทุนยังประเทศสวีเดนมากว่า 20 ปี ได้แก่ โครงการ Khao Lak Riverine พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 75 ยูนิต บนเนื้อที่ 25 ไร่ ราคา 5.9-7.5 ล้านบาท เป็นสัญญาเช่าระยะยาว 90 ปี มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าสแกนดิเนเวีย ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 30 ยูนิต
"ราคาขายถือว่าถูกมาก เพราะเราต้องการสร้างสังคมให้คนเข้ามาอยู่ให้เต็ม และจะมีบริการหลังการขายทุกอย่าง ทั้งการดูแลบ้านให้หากลูกค้ากลับประเทศตัวเอง จัดหาผู้เช่า บริการเช่นเดียวกับโรงแรมทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบริการคลีนิคพิเศษ เจ้าหน้าที่พยาบาล 2 คน หมอ 1 คน ประจำที่คลีนิครวมไปถึงรถพยาบาล ของโรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต มาตั้งภายในโครงการเพื่อดูแลลูกค้าภาย ประชาชน และนักท่องเที่ยวบนเขาหลัก เนื่องจากทางโรงพยาบาลเห็นว่าในเขาหลักยังไม่มีโรงพยาบาล"
นอกจากนี้ ยังมีโครงการบ้านเดี่ยวที่ตั้งในเมืองภูเก็ต เนื้อที่ 340 ไร่ และมีแผนที่จะขยายที่ดินเพื่อเติม ซึ่งภายในโครงการมีเหมืองเก่าทำเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ โครงการนี้จะพัฒนาเป็น 5 เฟส บ้านราคาเริ่มต้น 6.9 - 50 ล้านบาท เฟสแรกพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวบนพื้นที่พัฒนาโครงการ 60 ไร่ จำนวน 73ยูนิต มูลค่า 550 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 40 ยูนิต และมียอดจองบ้านราคา 25 ล้านบาทอีก 3 ยูนิต ซึ่งนอกจากบ้านแล้ว บริษัทยังได้แบ่งพื้นที่ขนาด 25 ไร่พัฒนาโรงแรม สไตล์บูทิค ขนาด 75 ยูนิต โดยในสัปดาห์นี้จะเริ่มเลือกเชนเพื่อมาบริหารโรงแรม แล้วจึงจะสามารถออกแบบ ก่อสร้างให้ตรงกับเชนที่มาบริหาร
ด้านนายนรินทร์ แดงตะโคตร ผู้ร่วมทุนกล่าวว่า จากที่ได้ทำธุรกิจในสวีเดนมาเป็นเวลานาน ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการอยู่อาศัยของชาวสวีเดนและชาวสแกนดิเนเวียเป็นอย่างวดี และจากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ประชากรในประเทศที่อยู่ในวัยเกษียณอายุ ต้องการมีที่อยู่อาศัยในประเทศไทยกว่า 40,000-50,000 ราย จากประชากรวัยเกษียณทั้งสิ้น 3 แสนราย ซึ่งหากรวมกับกลุ่มประเทศอื่นๆ นับว่ามีกำลังซื้ออสังหาฯของไทยจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทจึงพัฒนาบ้านให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ และในทุกโครงการของบริษัทจะมีบริการเช่นเดียวกับโรงแรมเช่นเดียวกันหมด
นางสุรางค์รัตน์ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร ไทย พริวิเลจ สปา (ภรรยานายศักดิ์ชัย จิราธิวัฒน์) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินธุรกิจสปาภายใต้ชื่อ "ไทย พริวิเลจ สปา มาเป็นปีที่ 3 ปัจจุบันเปิดสาขาแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ สาขาพระราม 3, เซ็นทรัลเวิลด์ ภูเก็ต, สาขาเซี่ยงไฮ้ และสาขานิวยอร์ค ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงมีแนวคิดที่จะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ร่วมไปถึงการขายเป็นธุรกิจแฟรนไชน์ไปทั่วโลก เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย รวมไปถึงการส่งออกสินค้าไทยไปจำหน่ายยังทั่วโลก
โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาขายแฟรนไชน์ ให้แก่ กลุ่มแกรนด์ เซ็นทรัล โฮลดิ้ง ในนามบริษัท ไทย พริวิเลจ คอนเซ้าส์แทนท์ จำกัด ซึ่งกลุ่มทุนดังกล่าวนำโดยนาง เอมี่ พุน ประธานกลุ่ม เป็นนักลงทุนชาวฮ่องกง ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลจีน โดยมีโครงการอสังหาฯกว่า 10 โครงการมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท การขายแฟรนไชน์ดังกล่าว เพื่อนำไปเปิดให้บริการในโครงการ เล็คกาเลีย บูทีค ปสาแอนด์ รีสอร์ท (Regalia Boutique Spa & Resort) ในเมือง ซูโจ
ทั้งนี้ การขายแฟรนไชน์ดังกล่าว บริษัทจะต้องออกแบบและตกแต่งภายใน เพื่อให้ตรงกับคอนเซปต์ของ พริวิเลจ สปาด้วย การออกแบบดังกล่าวเป็นที่ชอบใจของเจ้าของโครงการเป็นอย่างมาก จึงให้ทีมออกแบบของบริษัทออกแบบให้ทั้งโครงการ โดยภายในโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วย โรงแรมจำนวน 44 ห้องติดทะเลสาบ และในส่วนของสปาจำนวน 5 หลัง จะยื่นลงไปในทะเลสาบ
นอกจากนี้ กลุ่มแกรนด์ เซ็นทรัล ยังได้ความไว้วางใจจากรัฐบาลจีน ในการพัฒนาโครงการโรงแรมและที่อยู่อาศัยระดับ 5 ดาว โดยโครงการนี้จะเป็นการถมดินลงไปในทะเลสาบ เพื่อสร้างขึ้นเป็นเกาะจำนวน 3 เกาะ ประกอบด้วย เกาะที่ 1 เนื้อที่ 13 ไร่ พัฒนาเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 75 ห้อง ภายใต้คอนเซปต์ ยูโรเปียนสไตส์, เกาะที่ 2 ขนาด 13 ไร่ พัฒนาเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ มีสระว่ายน้ำทุกหลัง จำนวน 21 ยูนิต ราคาหลังละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาะที่ 3 จำนวน 2 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ ราคาหลังละ 200-300 ล้านบาท ทั้งนี้กลุ่มแกรนด์ เซ็นทรัล ได้ให้บริษัทไทย พริวิเลจฯ เป็นผู้ออกแบบโครงการให้ทั้งหมด
นางสุรางค์รัตน์กล่าวต่อว่า บริษัทโชคดีที่มีทีมออกแบบภายในของบริษัทเอง ซึ่งนอกจากออกแบบสปาสาขาในไทยแล้ว ยังออกแบบสปาสาขานิวยอร์ค และเซี่ยงไฮ้อีกด้วย ซึ่งทั้งสองเมืองนี้ถือเป็นเมืองปราบเซียนเลยก็ว่าได้ เมื่อสามารถผ่านเมืองที่หินที่สุดในโลกมาแล้ว ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่จะออกแบบในเมืองอื่นๆ โดยทีมออกแบบนี้มีใบอนุญาติ(ไลน์เซ็น)จากอเมริกา อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสมาคมสถาปนิกสยามอีกด้วย และก่อนพัฒนาโครงการ ต้องนำแบบไปเสนอรัฐบาลจีน ซึ่งต้องการคอนเซปต์ยูโรเปียนสไตส์ แต่ก็ได้รับอนุมัติในที่สุด
แม้ว่าการออกแบบภายนอกจะเป็นแบบยูโรเปียนสไตส์ แต่ทีมออกแบบได้ใส่ความเป็นไทยเข้าไปในวัสดุตกแต่งด้วย โดยกว่า 50% เป็นสินค้าไทย โดยเฉพาะเบญจรงค์ที่ออกแบบและสั่งทำขึ้นมาเอง คาดว่าสินค้าไทยที่นำไปตกแต่งนั้นมีมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นมูลค่าไม่สูงมาก แต่ถือว่าเป็นสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ในส่วนของโรงแรมยังมี ไทย พริวิเลจ สปาเปิดให้บริการอีกด้วย
ล่าสุด บริษัทได้เซ็นสัญญาระหว่างกลุ่มทุนอินเดีย และมุมไบเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในการขายแฟรนไซน์ ไทย พริวิเลจ สปาให้แก่กลุ่มทุนอินเดีย 6 แห่งและมุมไบ 4 แห่ง สำหรับแฟรนไชน์แต่ละแห่งจะขายในราคา 1 แสนเหรียญสหรัฐ การออกแบบและตกแต่งภายใต้คอนเซปต์ของ ไทย พริวิเลจ และจะต้องสั่งซื้อสินค้าที่เกี่ยวกับสปาจากบริษัทอีกด้วย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนออกไปยังจีน อินเดียและประเทศอื่นๆ ซึ่งจะมีทั้งร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนในประเทศนั้นๆ และลงทุนเอง
นางสุรางค์รัตน์ เปิดเผยอีกว่า สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯในไทยนั้น ปัจจุบันพัฒนาใน 2 โครงการ ภายใต้บริษัท ไทย พรีวิเลจ มารีน่า รีสอร์ท แอนด์ สปา โดยร่วมทุนกับนายนรินทร์ แดงตะโคตร นักลงทุนชาวไทยที่ไปลงทุนยังประเทศสวีเดนมากว่า 20 ปี ได้แก่ โครงการ Khao Lak Riverine พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 75 ยูนิต บนเนื้อที่ 25 ไร่ ราคา 5.9-7.5 ล้านบาท เป็นสัญญาเช่าระยะยาว 90 ปี มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท จับกลุ่มลูกค้าสแกนดิเนเวีย ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 30 ยูนิต
"ราคาขายถือว่าถูกมาก เพราะเราต้องการสร้างสังคมให้คนเข้ามาอยู่ให้เต็ม และจะมีบริการหลังการขายทุกอย่าง ทั้งการดูแลบ้านให้หากลูกค้ากลับประเทศตัวเอง จัดหาผู้เช่า บริการเช่นเดียวกับโรงแรมทั่วไป นอกจากนี้ยังมีบริการคลีนิคพิเศษ เจ้าหน้าที่พยาบาล 2 คน หมอ 1 คน ประจำที่คลีนิครวมไปถึงรถพยาบาล ของโรงพยาบาลกรุงเทพ ภูเก็ต มาตั้งภายในโครงการเพื่อดูแลลูกค้าภาย ประชาชน และนักท่องเที่ยวบนเขาหลัก เนื่องจากทางโรงพยาบาลเห็นว่าในเขาหลักยังไม่มีโรงพยาบาล"
นอกจากนี้ ยังมีโครงการบ้านเดี่ยวที่ตั้งในเมืองภูเก็ต เนื้อที่ 340 ไร่ และมีแผนที่จะขยายที่ดินเพื่อเติม ซึ่งภายในโครงการมีเหมืองเก่าทำเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ โครงการนี้จะพัฒนาเป็น 5 เฟส บ้านราคาเริ่มต้น 6.9 - 50 ล้านบาท เฟสแรกพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวบนพื้นที่พัฒนาโครงการ 60 ไร่ จำนวน 73ยูนิต มูลค่า 550 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 40 ยูนิต และมียอดจองบ้านราคา 25 ล้านบาทอีก 3 ยูนิต ซึ่งนอกจากบ้านแล้ว บริษัทยังได้แบ่งพื้นที่ขนาด 25 ไร่พัฒนาโรงแรม สไตล์บูทิค ขนาด 75 ยูนิต โดยในสัปดาห์นี้จะเริ่มเลือกเชนเพื่อมาบริหารโรงแรม แล้วจึงจะสามารถออกแบบ ก่อสร้างให้ตรงกับเชนที่มาบริหาร
ด้านนายนรินทร์ แดงตะโคตร ผู้ร่วมทุนกล่าวว่า จากที่ได้ทำธุรกิจในสวีเดนมาเป็นเวลานาน ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการอยู่อาศัยของชาวสวีเดนและชาวสแกนดิเนเวียเป็นอย่างวดี และจากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ประชากรในประเทศที่อยู่ในวัยเกษียณอายุ ต้องการมีที่อยู่อาศัยในประเทศไทยกว่า 40,000-50,000 ราย จากประชากรวัยเกษียณทั้งสิ้น 3 แสนราย ซึ่งหากรวมกับกลุ่มประเทศอื่นๆ นับว่ามีกำลังซื้ออสังหาฯของไทยจำนวนมาก ดังนั้น บริษัทจึงพัฒนาบ้านให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ และในทุกโครงการของบริษัทจะมีบริการเช่นเดียวกับโรงแรมเช่นเดียวกันหมด


