PTTCH กำไรไตรแรกปีนี้ลด 1,723 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% จากปีก่อน เนื่องจากโรงงานโอเลฟินส์ปิดซ่อมบำรุง ทำให้กำลังการผลิตลดลงในทุกผลิตภัณฑ์ ขณะที่ราคาวัตถุดิบหลักของบริษัทมีราคาผันผวนน้อยกว่าราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา ที่แปรผันตามราคาน้ำมันดิบ ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทจึงปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาแนฟทาที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการขยายกำลังการผลิตและบำรุงรักษาเพิ่มขึ้น
นางสาวปนัดดา กนกวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชีองค์กร บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ไตรมาสแรกปีนี้ว่าบริษัทมีสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 50 (งบรวม) ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,434.99 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,157.66 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นบลดลงจาก 3.68 บาทเหลือ 1.63 บาทต่อหุ้น หรือกำไรสุทธิลดลง 1,722.61 ล้านบาท หรือลดลง 41.43 % อันเป็นผลจากรายได้จากการขาย 12,465 ล้านบาทลดลง 26 % และมี EBITDA เท่ากับ 4,249 ล้านบาท ลดลง
25 %
โดยเป็นผลจากการปิดโรงโอเลฟินส์ I4-1 ตามแผนงาน (กำลังการผลิตโอเลฟินส์ 635,000 ตันต่อปี) เป็นเวลา 61 วันเพื่อการขยายกำลังการผลิตและบำรุงรักษา ซึ่งภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตจะทำให้โรงโอเลฟินส์ I4-1มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจาก 635,000 ตันต่อปี มาเป็น 825,000 ตันต่อปี และการปิดโรงโอเลฟินส์ I4-2 ตามแผนงาน (กำลังการผลิตโอเลฟินส์ 300,000 ตันต่อปี) เป็นเวลา 40 วัน เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์และบำรุงรักษาในช่วงระยะเวลาการรับประกัน ส่งผลให้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ทั้งหมดอยู่ที่ 61% ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 49 ซึ่งอยู่ที่ 107%
นอกจากนี้ ปริมาณการผลิต HDPE ที่ลดลง 28.9% ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ ปริมาณการผลิต HDPE เท่ากับ 86,224 ตัน เนื่องจากการปิดโรงโอเลฟินส์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ขาดวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต HDPE ได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง โดยในไตรมาส 1 ปีนี้ ราคาเอทิลีนมาบตาพุดอยู่ที่ 1,065 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 1.9 % ส่วนราคาโพรพิลีนมาบตาพุดอยู่ที่ 1,084 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 10.5 % ขณะที่ราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา (MOPS) อยู่ที่ 574 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 10.3 % ส่งผลให้ส่วนต่างของราคาเอทิลีนมาบตาพุดเทียบกับราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา (MOPS) อยู่ที่ 491 เหรียญสหรัฐต่อตันลดลง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัตถุดิบหลักของบริษัทเป็นก๊าซซึ่งมีราคาผันผวนน้อยกว่าราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา (MOPS) ที่แปรผันตามราคาน้ำมันดิบ ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทจึงปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาแนฟทาที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น จากการปิดปิดโรงโอเลฟินส์ I4-1 และ I4-2 ตามแผนงานดังกล่าวข้างต้น เพื่อการขยายกำลังการผลิตและบำรุงรักษา
นางสาวปนัดดา กนกวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชีองค์กร บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ไตรมาสแรกปีนี้ว่าบริษัทมีสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 50 (งบรวม) ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,434.99 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,157.66 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นบลดลงจาก 3.68 บาทเหลือ 1.63 บาทต่อหุ้น หรือกำไรสุทธิลดลง 1,722.61 ล้านบาท หรือลดลง 41.43 % อันเป็นผลจากรายได้จากการขาย 12,465 ล้านบาทลดลง 26 % และมี EBITDA เท่ากับ 4,249 ล้านบาท ลดลง
25 %
โดยเป็นผลจากการปิดโรงโอเลฟินส์ I4-1 ตามแผนงาน (กำลังการผลิตโอเลฟินส์ 635,000 ตันต่อปี) เป็นเวลา 61 วันเพื่อการขยายกำลังการผลิตและบำรุงรักษา ซึ่งภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตจะทำให้โรงโอเลฟินส์ I4-1มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นจาก 635,000 ตันต่อปี มาเป็น 825,000 ตันต่อปี และการปิดโรงโอเลฟินส์ I4-2 ตามแผนงาน (กำลังการผลิตโอเลฟินส์ 300,000 ตันต่อปี) เป็นเวลา 40 วัน เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์และบำรุงรักษาในช่วงระยะเวลาการรับประกัน ส่งผลให้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ทั้งหมดอยู่ที่ 61% ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 49 ซึ่งอยู่ที่ 107%
นอกจากนี้ ปริมาณการผลิต HDPE ที่ลดลง 28.9% ซึ่งไตรมาสแรกปีนี้ ปริมาณการผลิต HDPE เท่ากับ 86,224 ตัน เนื่องจากการปิดโรงโอเลฟินส์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ขาดวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต HDPE ได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง โดยในไตรมาส 1 ปีนี้ ราคาเอทิลีนมาบตาพุดอยู่ที่ 1,065 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 1.9 % ส่วนราคาโพรพิลีนมาบตาพุดอยู่ที่ 1,084 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 10.5 % ขณะที่ราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา (MOPS) อยู่ที่ 574 เหรียญสหรัฐต่อตันเพิ่มขึ้น 10.3 % ส่งผลให้ส่วนต่างของราคาเอทิลีนมาบตาพุดเทียบกับราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา (MOPS) อยู่ที่ 491 เหรียญสหรัฐต่อตันลดลง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวัตถุดิบหลักของบริษัทเป็นก๊าซซึ่งมีราคาผันผวนน้อยกว่าราคาวัตถุดิบอ้างอิงแนฟทา (MOPS) ที่แปรผันตามราคาน้ำมันดิบ ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทจึงปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาแนฟทาที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้น จากการปิดปิดโรงโอเลฟินส์ I4-1 และ I4-2 ตามแผนงานดังกล่าวข้างต้น เพื่อการขยายกำลังการผลิตและบำรุงรักษา