ลูกค้าบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพบุกกองปราบ แจ้งความดำเนินคดีธนาคารฯ พร้อมผู้บริหาร 19 คน ฐานลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์เงินลูกค้าในบัญชีเงินฝาก อ้างใช้หนี้บัตรเครดิต ขณะที่แบงก์กรุงเทพยันหักเงินลูกค้าไม่ได้ถ้าไม่มีคำสั่งศาล
วานนี้ (2 พ.ค.) ที่กองปราบปราม นายประเวศ ประภานุกูล อายุ 47 ปี ทนายความอิสระ ซึ่งเป็นทนายความให้กับผู้เสียหายที่เป็นลูกหนี้บัตรอีซี่บาย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สอาด การลพ พงส. (สบ2) กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. เพื่อแจ้งความให้ดำเนินคดีกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และคณะกรรมการ จำนวน 19 คน ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์ โดยหักเงินในบัญชีธนาคาร จำนวน 33,177.58 บาทของลูกค้ารายหนึ่งเพื่อนำไปชำระหนี้บัตรเครดิตที่ลูกค้ารายนี้ค้างชำระอยู่
นายประเวศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมามีผู้เสียหายรายหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารกรุงเทพเล่าให้ตนฟังว่าได้ไปชำระค่าโทรศัพท์โดยใช้บัตรเดบิตของธนาคารกรุงเทพในการชำระเงินซึ่งจะหักเงินจากบัญชีที่มีอยู่แต่พนักงานแจ้งว่าไม่สามารถใช้บัตรชำระเงินได้จึงติดต่อไปยังธนาคารเจ้าของบัญชี สาขาพัฒนาการ ก็ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าได้หักเงินจำนวน 33,177.58 บาทไปจากบัญชีเพื่อนำไปชำระหนี้บัตรเครดิตของธนาคารเดียวกันที่ผู้เสียหายเคยทำไว้
นายประเวศกล่าวว่า หลังจากทราบเรื่องดังกล่าวผู้เสียหายได้โทรศัพท์มาปรึกษาซึ่งตนได้แนะนำไปว่าให้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ธนาคารให้คืนเงินจำนวนดังกล่าวเพราะเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะฟ้องร้อง แต่เมื่อผู้เสียหายโทรกลับไปต่อว่าก็ถูกเจ้าหน้าที่ตอบกลับว่าอยากจะทำอะไรก็เชิญ ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้ตนเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีกับทางธนาคารและคณะกรรมผู้บริหารทั้งหมดในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์
“ผู้เสียหายได้ยกเลิกบัตรเครดิตของธนาคารแห่งนี้ไปแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน แต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทางธนาคารได้ส่งหนังสือทวงหนี้มายังผู้เสียหาย หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียวทางธนาคารก็หักเงินในบัญชีของผู้เสียหายไปเลยโดยไม่แจ้งให้ทราบหรือไปฟ้องร้องแต่อย่างใดก็เหมือนกับเป็นการใช้ศาลเตี้ยซึ่งผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง”
นายประเวศกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายทำสัญญากับทางธนาคารไว้เมื่อครั้งไปขอใช้บริการบัตรเครดิตนั้นตนยังไม่ได้ตรวจสอบว่าในสัญญามีรายละเอียดเป็นอย่างไรบ้างอย่างไรก็ตามหากมีการระบุว่าทางธนาคารสามารถหักเงินจากบัญชีลูกค้าเพื่อนำไปชำระหนี้บัตรเครดิตที่มีกับทางธนาคารได้เลยนั้นก็อาจเข้าข่ายว่าเป็นการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม แต่ที่สำคัญคือการที่ธนาคารไม่ได้ทำตามขั้นตอนซึ่งจะต้องไปฟ้องร้องต่อศาลให้มีคำพิพากษาก่อนจะขอหมายศาลมาอายัติเงินในบัญชีนั้นผู้เสียหายเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมอบอำนาจให้ตนมาแจ้งความดังกล่าว
ทั้งนี้ นอกจากเข้าแจ้งความกับตำรวจแล้วตนก็เตรียมที่จะไปร้องเรียนกรณีดังกล่าวกับธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังด้วยเพราะกรณีนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อสถานบันการเงินอย่างมาก
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความและสอบปากคำไว้เป็นหลักฐานและจะได้เสนอผู้บังคับบัญชาดำเนินการต่อไป
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ฝ่ายประชาสัมพันธ์ธนาคารกรุงเทพชี้แจงว่า เบื้องต้นกรณีนี้อาจมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้น เพราะตามหลักการธนาคารฯ จะไม่หักหรืออายัดเงินในบัญชีลูกค้า ยกเว้นกรณีศาลมีคำพิพาษา อย่างไรก็ตามธนาคารจะติดตามเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนอีกครั้ง