xs
xsm
sm
md
lg

หลักธรรมสำหรับสถานการณ์ในไทย (6) : รักศัตรู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลักธรรมขั้นสูงในช่วงเทศกาลแห่งความรัก สำหรับสถานการณ์ที่ยังดูอึมครึมขณะนี้ คือเรื่อง “รักศัตรู”

หลายครั้งที่คนเราตกอยู่ภายใต้การครอบงำของความโกรธ ความเกลียด เพราะเรามีความรักไม่เพียงพอ บางครั้ง คนที่ใกล้ตัว เป็นคนที่ทำให้เราต้องทุกข์ใจ ลำบากใจ หรือบางครั้งถึงขั้นเจ็บช้ำน้ำใจ คนเหล่านั้น อาจเข้าข่ายเป็น “ศัตรู” ในหัวใจเรา ผู้ทำให้เราโกรธ เกลียด หรือกลัว

ในครอบครัว คู่ที่เคยรักกัน อาจกลายเป็นไม่รักกัน โกรธ กลายเป็นความเบื่อหน่ายกัน หรือเกลียดกัน “คู่รัก” ก็อาจกลายเป็นความรู้สึกเป็น “ศัตรู” กันได้

ในองค์กร เพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกัน เคยช่วยเหลือกันมา บางครั้ง มีเรื่องที่ขัดใจ ไม่พอใจ หรือบางกรณี แข่งขันกัน รู้สึกช่วงชิงความชอบกัน ก็อาจกลายเป็นเกิดความรู้สึกเป็น “ศัตรู” กันได้

ในระดับชาติ คนไม่น้อยที่เป็นผู้รักชาติ ประสงค์จะทำความดีเพื่อส่วนรวม กลับไม่เชื่อส่วนดีของกัน และไม่มองเจตนาดีของกัน แต่มองคนที่มีความเห็นแตกต่างเป็นดัง “ศัตรู” ได้

ในระดับนานาชาติ ประเทศที่มีมิตรมาก ก็มีการค้าขายที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้มิตรประเทศสามารถเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน แต่หากเอาแต่จดจำความผิด เชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ดี มิตรประเทศก็กลายเป็น “ศัตรู” ได้

เป็นที่รู้และเข้าใจกันดีว่า การมี “มิตร” นำมาซึ่งความสุขมากกว่ามี “ศัตรู” และรู้ว่าเพียงคิดที่จะ รัก ให้อภัย ก็คือ “เป็นมิตร” และเพียงคิดโกรธ และไม่ให้อภัย ก็คือ “เป็นศัตรู” แต่ก็แปลกที่หลายคน ไม่ยอมให้ความรักครอบงำนำจิตใจ ก็กลับกลายเป็นยินดีที่จะให้ความโกรธ ทิฐิ ครอบงำนำจิตใจ ยังโกรธ ยังเกลียด ยังมองเขาเป็น “ศัตรู” มากกว่าเป็น “มิตร” และมีสัจจธรรมอยู่ว่า

เมื่อเราเห็นเขาเป็นศัตรู เราก็ทำให้ตัวเราเป็น ‘ศัตรู’ และเมื่อเราเห็นเขาเป็นมิตร เราก็ทำให้ตัวเราเป็น ‘มิตร’

มีหลักธรรมคำสอนดังนี้

“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า “ตาต่อตา และฟันต่อฟัน” ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย”

"ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์”

เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม

“แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ”

จากคำสอนดังกล่าว พอจะสรุปเป็นบทเรียนได้ดังนี้

1.การโต้ตอบแบบ “ตาต่อตา” ทำให้โลกตาบอด ผมได้ชมภาพยนตร์หลายๆชาติ เกี่ยวกับเรื่องสงคราม เรื่องที่ดีๆเหล่านี้ มักส่งสัญญาณเตือนความจำว่า “ในสงคราม ไม่มีผู้ชนะ มีแต่ผู้เสียหาย ทั้งชีวิต (ซึ่งไม่มีโอกาสนำกลับมาได้) และทรัพย์สิน ไม่ว่าแพ้หรือชนะ” ไม่ว่าจะเป็น หนังไทยอย่างเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งกำลังโด่งดังในขณะนี้ หนังจีนอย่างเรื่อง “มหาวีรบุรุษกู้ชาติ” หนังฮอลลีวู้ด เช่นเรื่อง “TROY” หนังอิตตาเลียน เช่นเรื่อง “Life is Beautiful” หนังข้ามโลก เช่นเรื่อง “Star Wars” เป็นต้น

2.พระเจ้ายังให้พระอาทิตย์ส่องว่าง แก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน หากเราเรียนรู้ที่จะใช้สายตาอย่างสายพระเนตรพระเจ้า ชีวิตเราจะดีขึ้นมากมาย แม้มนุษย์จำนวนหนึ่งทอดทิ้งพระองค์ หลายคนละทิ้งความชอบธรรมจริยธรรม พระองค์ยังทรงให้พระอาทิตย์ส่องสว่างกับทุกคน ฝนตกตามฤดูกาลกับทุกคน ทรงสละชีวิตเพื่อไถ่บาปเราทุกคน ตั้งแต่เมื่อเรายังไม่รู้จักพระองค์ เพราะพระธรรมยิ่งใหญ่ คือ “เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอ ไม่ช่างจดจำความผิด กระทำคุณให้ อดทนนาน และ อดทนต่อทุกอย่าง” ไม่ได้แปลว่าส่งเสริมให้คนทำผิด แต่เชื่อว่าสามารถส่งเสริมให้คนที่เคยทำผิด สำนึกผิด และกลับใจมาสู่ทางชอบธรรมได้ มิเช่นนั้น เราจะพิพากษาเขาเองในใจของเรา และหลายครั้ง นำไปสู่การคอบโต้ที่ผิด และกลับไปสู่ปัญหา “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ในข้อแรก

3.หากเรารักแต่คนที่รักเรา เราจะต่างกับคนไม่ชอบธรรมอย่างไร ? หากสังคมรักแต่คนที่รักเรา หากไม่รักกันก็เป็นอีกพวกหนึ่ง สังคมก็จะแตกแยก เพราะคนเรายังไม่สมบูรณ์ (แม้ผมจะมีรูปร่างที่สมบูรณ์ ผมก็ยังไม่สมบูรณ์) มีโอกาสทำถูกและทำผิด และบางครั้ง สิ่งที่ทำ กับสิ่งที่ถูกรับรู้ (perception) ก็อาจถูกมองว่าผิดได้ การตั้งกำแพง การตัดสินเขา อาจทำให้เราหลุดจากความรัก ไปอยู่ใต้ความโกรธได้ เราจึงควรเรียนรู้วิชา “สายพระเนตรพระเจ้าแห่งความรัก” ในข้อ 2 มองคนในแง่ดี รักแม้ศัตรู หากศัตรูทำผิด ภาวนาให้เขากลับใจด้วยใจที่ยังมีความรัก เราจะมีมิตรมากขึ้น ศัตรูน้อยลง และแปลงศัตรูเป็นมิตรได้

ทางด้านเศรษฐกิจ คนวงการหุ้น กับผู้ส่งออก ไม่ได้เป็นศัตรูกัน หากธปท. หวังให้ค่าเงินบาทอ่อนลงไปบ้าง วิธีแก้ไขที่ตรงจุด คือลดดอกเบี้ย จะลดความต้องการเงินบาทลงได้ทันที โดยเฉพาะพวก Hedge Fund ที่เก็งกำไรจากหลักการ Exchange Rate Parity จะลดลงมหาศาลทันที เมื่อลดดอกเบี้ย และผ่อนคลายมาตรการ 30% เพื่อควบคุมการลงทุน (ซึ่งสถานการณ์ตอนออกค่อนข้างคับขัน ประชาชนเข้าใจได้) จะทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้น และความเชื่อมั่นดีขึ้น

ตำราเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ยังได้ยกกรณีก่อการร้าย 9/11 เมื่อปี 2001 เป็นบทเรียนว่า ธนาคารกลางสหรัฐอนุมัติการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องถึง 11 ครั้ง เพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่น กระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาไม่ให้เศรษฐกิจถดถอย

ผมว่าหลังจากการหยุดการโจมตีเงินบาท (ให้แข็ง) อย่างรุนแรงได้ชะงัด ด้วยนโยบาย 30% บัดนี้ ธปท. ควรพิจารณายกเลิกนโยบายดังกล่าวได้แล้ว โดยประกอบการทยอยลดดอกเบี้ย สถานการณ์ต่างๆก็จะดีขึ้น

อย่ากลัวว่าคนจะเข้าใจ “เศรษฐกิจพอเพียง” อย่างถูกต้องว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั้นโตได้ ต้องมีความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยง ซึ่งก็ต้องรวมถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอย คนค้าขายได้น้อยลง รายได้ลดลงด้วย

อย่ากลัวว่า ลดดอกเบี้ยแล้ว คนมีเงินบาทมากๆจะได้ดอกเบี้ยน้อยลง เพราะดอกเบี้ยไม่ใช่ของฟรี มาจากผลตอบแทนจากการปล่อยกู้ ในสภาวะที่คนมีความกังวล ขาดความเชื่อมั่นในการบริโภค ดอกผลย่อมมีน้อย ปรับดอกเบี้ยลดลงก็เพียงเพื่อความเป็นธรรม

อย่ากลัวว่า คนมีเงินบาทหลายหมื่นล้านบาทจะโกรธ ที่ลดดอกเบี้ย ทำให้ดอกผลน้อย ทำให้เงินบาทถึงเป็นสกุลเงินที่ถืออ่อน ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก และทำให้ศรัทธาต่อรัฐบาลกลับมาดีขึ้น

และท้ายที่สุด ทุกคนไม่มีใครเป็นศัตรูกัน ผู้ส่งออก คนวงการหุ้น ก็รักกัน คนไทยรักกัน ผมขอให้กำลังใจกับทุกท่านให้ใช้ความรักชนะความโกรธ และเข้าใจการ “รักศัตรู” ครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)

กำลังโหลดความคิดเห็น