xs
xsm
sm
md
lg

หลักธรรมสำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย (2) : ผู้เป็นสุข

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สืบเนื่องจากหลักการทางเศรษฐศาสตร์ครั้งที่แล้วทั้งที่ว่า “ยามใดที่ประชาชนเป็นสุข ยามนั้นเศรษฐกิจจะดี” และ “ยามใดที่เศรษฐกิจดี ประชาชนชนก็เป็นสุข”

ผมเชื่ออีกว่า การเรียนรู้ที่จะ “เป็นสุข” ทุกสถานการณ์จะทำให้ชีวิตเข้มแข็ง และในสถานการณ์คล้ายๆกัน คนที่ “มีความสุข” ได้มากกว่า ถือได้ว่าเติบโตด้านจิตใจมากกว่า ในสถานการณ์ที่คล้ายๆกัน หากเรา “มีความสุข” เราก็จะคิดแก้ไขปัญหาต่างๆได้ดีกว่า นิ่งกว่า สงบใจกว่า เครียดน้อยกว่า

มีหลักธรรมคำสอนที่ผมชอบอยู่ว่า

"บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม” และ

“บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก” ซึ่งมีหลายนัย ดังนี้

1.มองโลกในแง่ดี : ขนาดผู้โศกเศร้า คำสอนยังสอนให้รู้สึกเป็นสุข เพราะจะได้รับการทรงปลอบประโลม คนไทยเราในยุคนี้อาจรู้สึกหงุดหงิดเป็นทุกข์ เพราะพบเหตุการณ์ที่ยากกว่าที่อยากให้เป็น มีการวางระเบิดงานวันฉลองปีใหม่ ก็ทำให้เรากังวลทั้งที่มันก็เป็นเพียงที่ตู้โทรศัพท์
ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ลอนดอนวางรถไฟใต้ดิน วันนั้น หุ้นไทยตกหนัก หุ้นที่ลอนดอนขึ้น เพราะเขาเห็นว่า คาดอยู่เหมือนกันว่าจะมีเหคุร้าย แต่เมื่อเห็นว่าคนร้ายทำได้แค่นั้นก็เห็นว่าไม่ถึงกับต้องวิตก ต่อให้มีเหตุการณ์ก่อการร้ายอีก ใจเราก็ต้องเข้มแข็งพอ ไม่ถูกผู้ก่อการร้ายทำร้ายได้ง่ายๆเกินไป

โลกเราต้องต่อสู้กับคนเลว ที่ไม่สร้างสรรค์ รู้จักแต่การทำลาย ไม่กล้าต่อสู้ซึ่งหน้า มีแต่การรบแบบกองโจร ผู้ก่อการร้ายย่อมเป็นเช่นนี้ทั่วโลก แต่ถ้าเราเข้มแข็ง ยิ่งถูกโจมตี ยิ่งรักสามัคคีกัน ช่วยเหลือกัน เศรษฐกิจและสังคมของเราก็จะยังคงเข้มแข็ง จะระเบิดตู้โทรศัพท์ ก็จำกัดผลเพียงตู้โทรศัพท์ จะระเบิดรถไฟใต้ดิน ก็จำกัดผลเพียงรถไฟใต้ดิน จะเอาเครื่องบินถล่มตึก ก็จำกัดผลเพียงกรณีนั้น
ฝ่ายดูแลรักษาความปลอดภัย และฝ่ายติดตามรักษาความยุติธรรมก็เดินหน้าไป ประชาชนที่เหลือ มีบทบาทสำคัญที่เป็นอวัยวะของกายเดียวกัน ดำเนินชีวิตเพื่อกันและกัน ผลิตสินค้า หรือทำหน้าที่ให้บริการแก่กันและกัน และเป็นลูกค้าแก่กันและกัน ถ้าเราเพียงรู้สึกมากขึ้นว่า ชีวิตเป็นทุกข์ แล้วใจก็เป็นทุกข์ หดหู่ ขาดศรัทธา ขาดความเชื่อมั่น แล้วการดำเนินชีวิตเริ่มถดถอย
หากจับจ่ายน้อยลง ก็ทำให้ต้องมีคนค้าขายได้น้อยลง เศรษฐกิจก็จะตกต่ำลงได้ เท่ากับชาวไทยเรายอมแพ้แก่ผู้ก่อการร้ายอย่างง่ายๆ เราจึงควรเข้มแข็ง เป็นอวัยวะแก่กันและกันที่เข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้กันและกัน เราก็จะเอาชนะผู้ก่อการร้ายได้ เหมือนที่ประธานาธิบดีบุชพูด “พวกก่อการร้ายอาจจะหลอมเหล็กลงได้ แต่จะสร้างรอยขูดขีดในหัวใจเราไม่ได้”

กลับมาสำรวจชีวิตเรา ในเรื่องมุมมองของชีวิต

ชีวิตเรามีความสุขไหม ? ชีวิตทำงานเรามีความสุขไหม ? ชีวิตคู่เรามีความสุขไหม ?

เมื่อแรกพระเจ้าทรงสร้างโลก ทรงสร้างสรรพสิ่งอย่างอัศจรรย์ ทรงสร้างมนุษย์อย่างดีตามพระฉายของพระองค์ พระองค์ทรงเห็นว่าดีนัก ซาตานกลับพยายามบอกกับอาดัมและอีฟว่า “พระเจ้าประทานสิ่งต่างๆมาดีจริงหรือ ทำไมจึงยังมีผลไม้ต้องห้ามอยู่ พระเจ้าตรัสว่า รับประทานแล้วตายจริงหรือ รับประทานแล้วเจ้าจะไม่ตายดอก แต่เจ้าจะเป็นดั่งพระเจ้า เจ้าจะรู้สึกสำนึกผิดดีชั่วด้วยตัวเจ้าเอง” สะท้อนว่า พระเจ้าได้สร้างสิ่งต่างๆอย่างดี หากเราเชื่อพระองค์ เราจะเห็นตามพระองค์ว่าดีนัก เราก็น่าจะพอใจได้

บางคนก็อาจถามว่า “ก็จริงของซาตาน ในเมื่อให้ทุกอย่างในสวนเอเดน ทำไมต้องมีผลไม้นี้ที่ยกเว้น ?” ผมอยากจะให้ความเห็นว่า ผลไม้ที่ไม่ให้ คือ สัญญาณของการให้ “เสรีภาพ” อาดัมและอีฟ มีบางสิ่งที่ “ไม่ได้รับ” เพื่อให้มีทางเลือก เรามีเสรีภาพ (จากซาตาน) ที่จะเลือกที่จะ “พอเพียง” และมีความสุขกับสิ่งที่ได้รับเป็นของตน และ เราก็มีเสรีภาพ (จากพระเจ้า) ที่จะเลือกที่จะ “ไม่พอเพียง” และหวัง โลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่ได้ให้เป็นของตัว อยากเห็นสภาพแวดล้อมที่ยังไม่เป็นจริง และอาจไม่เป็นจริง แล้วก็มีใจเป็นทุกข์ หรืออาจถึงขั้นจมอยู่ในความทุกข์และสับสนชีวิต

ความแตกต่างที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งของ “ทางสว่าง” กับ “ทางมืด” จึงคือ มุมมองในชีวิต พระเจ้าชวนให้มองเห็นในแง่บวกมากมาย แต่ซาตานชวนให้มองในทางลบ

ในชีวิตมีสรรพสิ่งที่ดี น่ายินดี แต่ก็อาจมีบางอย่างที่เราไม่ได้อย่างใจ เรามองส่วนดี แล้วมีสุข หรือมองส่วนไม่ได้อย่างใจ แล้วเป็นทุกข์ ?

ในการทำงาน มีหลายๆอย่างที่ดี สนุก ท้าทาย แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่ได้อย่างใจ เรามองส่วนดี แล้วสนุกกับงานที่ท้าทาย หรือมองส่วนไม่ได้อย่างใจ แล้วเป็นทำงานไปวันๆ ไม่เข้าใจความหมาย และไม่มีเป้าหมายคุณค่าของชีวิต ?

กับคนรอบข้าง เขามีส่วนดีมากมาย และมีส่วนที่ไม่ถูกใจเรา เราเชื่อในส่วนดีของเขา และยังรักเขาได้อย่างไม่มีเงื่อนไข หรือเราพยายามจดจำความผิด จับผิด และโกรธเขา ไม่รักเขา คบหาไปอย่างนั้นๆ หรือตัดความสัมพันธ์เขา ?

สรุปอีกครั้งว่า โลกเรามองว่าสุขก็สุข มองว่าทุกข์ก็ทุกข์ ทางเลือกอยู่ที่เราจริงๆครับ

2.มีใจถ่อม : เพราะบุคคลใดมีใจถ่อม เขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก ฐานะเราเป็นอย่างไร สถานการณ์แวดล้อมเราเป็นอย่างไร หากเราถ่อมใจพอ ก็ทำให้เรา “มองโลกในแง่ดี” ได้อย่างมั่นคง และเราก็จะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก เหมือนแจ็คในเรื่องไททานิค เขายากจนแต่ชื่นชมกับสายลม แสงแดด ทะเล แผ่นดินโลกเป็นมรดกของเขาและเราทุกคน ต่างกับเคลดอน เศรษฐีในเรื่องเดียวกัน ที่อยากได้สิ่งของเป็นเพียงของตัว ห้องพักแม้จะใหญ่ กลับไม่ได้ชื่นชมโลกกว้างใหญ่กว่ากันมากนัก และ รวยเพียงใด ใจก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

ผมประทับใจชีวิตของ ลีนา มาเรีย นักร้องสาวชาวสวีเดน ผู้เกิดมาไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ขาข้างหนึ่งสั้นครึ่งหนึ่งของอีกข้างหนึ่ง เธอเคยมาแสดงคอนเสิร์ทที่เมืองไทย เธอร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างมีพลังและมีความสุข เธอถ่อมกับชีวิตพอเพียง เธอบอกว่า “ฉันมีความสุขในชีวิต ฉันขอบพระคุณพระเจ้าในหลายๆสิ่งที่พระเจ้ามอบให้” แม้เธอพิการไม่มีแขน และมีขาข้างหนึ่งสั้นครึ่งหนึ่งของอีกข้างหนึ่ง แต่เธอมีพลังมีความสุข จึงเป็นกำลังใจแก่ผู้คนมากมาย

ผมเชื่อว่า หากเราถ่อมใจเรียนรู้ที่จะมองโลกอย่างมีความสุข เรียนรู้ที่จะพอเพียงอย่างสดชื่น เศรษฐกิจไทยจะดียั่งยืนครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น