xs
xsm
sm
md
lg

“มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง เลี่ยงอบายมุข”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมชอบติดตามคำขวัญวันเด็กทุกๆปี จะว่าไป ผมรู้สึกมีความหมายตอนที่ผมเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งกว่าตอนที่ผมเป็นเด็กด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคำขวัญปีนี้ที่ว่า “มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง เลี่ยงอบายมุข”นับได้ว่ามีคุณค่า และความหมายสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันจริงๆ

ผมขอเสนอความเห็นของผมในการขยายความคำขวัญวันเด็กปีนี้ดังนี้

1.มีคุณธรรมนำใจ : เมื่อนึกถึงเรื่องคุณธรรมนำใจ ผมนำถึงพระธรรมข้อใหญ่ 2 ข้อ คือ (ก) รักโลกและชีวิตนี้ และ (ข) รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

บางคนอาจรู้สึกว่า “ความรักโลกและชีวิตนี้” จะนับเป็นคุณธรรมอย่างไร ผมขอเรียนความเห็นว่า “ความรักโลกและชีวิตนี้” คือ ความชื่นชมยินดีที่ โลกนี้และชีวิตเราถูกสร้างมาอย่างดี เป็นโลกแห่งความสุข ชีวิตเราถูกสร้างมาอย่างดี ไม่ใช่ว่า ใครมีสมบัติมากกว่าคนอื่น แล้วจะมีความสุขกว่าคนอื่น

ผมเห็นมามากแล้วครับ ที่คนรวยๆ บางคน มองว่าโลกเป็นทุกข์ (ไม่ได้หมายถึงคนรวยๆทุกคน เพราะ คนรวยๆจำนวนมาก ก็มองโลกเป็น) ชีวิตก็เป็นทุกข์ และคนฐานะยากจนหรือปานกลาง แต่มองโลกว่าเป็นสุข มองชีวิตเป็นสุขได้แม้จะมีเงินน้อย ชีวิตก็มีความรักและเป็นสุข

และ “ความรักโลกและชีวิตนี้” ก็ทำให้ชีวิตมีความสุขในทุกสถานการณ์ มีความพอเพียง ไม่หงุดหงิดง่าย ทำให้มองโลกอย่างมีความสุข และมีสติ หลายคนที่ไม่เชื่อว่า โลกนี้ถูกสร้างมาอย่างดี ชีวิตนี้ดีนัก มักจะมีความอดทนน้อย และเป็นทุกข์

เมื่อมองทิศทางของบ้านเมืองของเรา ไปทางซ้าย ก็เห็นปัญหา ก็ไม่ต้องการ อยากเห็นผู้เข้ามาช่วยแก้ไข เมื่อไปทางขวา เมื่อมีคนชวนมองให้เห็นเป็นปัญหา ก็เริ่มหงุดหงิด ไม่พอใจ เริ่มไม่แยกแยะหนักเบา หรือไม่แยกแยะเหตุผล

แม้กระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์วางระเบิด บางคนเริ่มขาดความอดทน เริ่มไม่สนใจด้วยว่า ใครน่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือ ใครไปให้ความช่วยเหลือร่วมมือกับศัตรู ที่ตั้งใจเข้ามาทำลายความสุขของคนไทย ทำลายชื่อเสียงของคนไทย ทำลายการท่องเที่ยวไทย ทำลายความเชื่อมั่นของคนไทย ทำลายความเชื่อถือต่อรัฐบาลไทย ฯลฯ และนำไปสู่ความเบื่อคณะผู้บริหาร

ทั้งที่อาจควรเป็นเวลา ที่คนไทยจะรณรงค์ “ความรู้รักสามัคคี” ร่วมต่อต้านผู้อยู่เบื้องหลังการทำลายชาติ หรือผู้ให้ความช่วยเหลือศัตรูของชาติ ด้วยความอดทน และเป็นกำลังใจแก่กันและกันอย่างเต็มที่

ส่วนคุณธรรมอีกข้อที่ว่า “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” มีความชัดเจนในตัวว่า คนเราถูกสร้างมาเป็นดังอวัยวะของกายเดียวกัน ร่างกายเราถูกสร้างมาอย่างอัศจรรย์ ทุกองค์ประกอบมีคุณค่า สมอง ตา หู จมูก ปาก หัวใจ ปอด ฯลฯ แม้กระทั่ง เท้า เล็บเท้า รูขุมขน กระบวนการกำจัดของเสีย ฯลฯ ก็มีหน้าที่ที่เป็นประโยชน์ และควรที่อวัยวะทุกส่วนจะทำประโยชน์แก่กันและกัน เห็นคุณค่าของกันและกัน และให้เกียรติกันและกัน

สิ่งแปลกปลอมในร่างกายเช่น “มะเร็ง” ไม่ได้ทำประโยชน์แก่อวัยวะอื่น แต่วางอำนาจเหนืออวัยวะอื่นๆ จ้องเอาเปรียบ เอาประโยชน์ของคนอื่นมาเป็นของตัว คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว และในที่สุด ก็กินร่างกายนั้นจนสิ้นไป และอวัยวะอื่นๆจะต้องสูญเสียไปตามกัน คนที่ “ไม่รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ก็เปรียบเสมือน “มะเร็งร้าย” ของสังคมนั่นเอง

2.ใช้ชีวิตพอเพียง : ตามหลักการเศรษฐกิจพอเพียง คือ (ก) ความพอประมาณ (ข) ความมีเหตุผล และ (ค) มีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน

ความพอประมาณ คือการใช้เงินพอตัว ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ก่อหนี้เกินตัว ไม่มุ่งบริโภคในยุคนี้บนภาระที่ทิ้งไว้ให้รัฐบาลภายหน้า หรือเป็นภาระของลูกหลาน

โดยหลักความมีเหตุผล การพอเพียง คือ การใช้จ่ายพอตัว ก็น่าจะหมายความว่า อย่าจ่ายเกินกว่าที่หาได้ (จริงๆแล้ว น่าจะจ่ายน้อยกว่า เพื่อให้มีการออมและการลงทุนเพื่ออนาคตด้วย) ซึ่งคือ หาให้มากพอ และใช้ให้น้อยพอ การหาไม่เป็นสิ่งผิด หรือน่ารังเกียจใดๆ หากเป็นการหาเงินที่สุจริต ไม่ลักเอาของใคร ไม่เอาเปรียบใคร

เศรษฐีหลายคนเกิดจากการ “สร้างสรรค์” สิ่งต่างๆให้ชาวโลกมากมาย เช่น บิล เกตต์ สร้างสรรค์โปรแกรมอย่างดี ทำให้ลูกค้าผู้ใช้โปรแกรมทั่วโลก ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมากมาย ลดต้นทุน และลดเวลาลงได้มากมาย เขาก็ยังทำประโยชน์อยู่ และรายได้ที่เกินกว่าที่เขาจะใช้ก็ตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อสร้างประโยชน์สาธารณะต่อไป

บางคนอาจตั้งข้อสงสัยว่า ความพอเพียง คือ “ความพอแล้ว” ทำให้ละแล้วจากชีวิตทางโลก หันไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษ สมถะหรือไม่ ซึ่งก็จะทำให้รู้สึกสับสน เพราะขัดกับหลักการพัฒนา ขัดกับหลักการที่อวัยวะทุกส่วนถูกสร้างมาเพื่อกันและกัน หากเชื่อเช่นนั้น ก็จะขัดกับหลักความมีเหตุผล “เศรษฐกิจพอเพียง” จึงพัฒนา ก้าวหน้าได้ แต่ต้องก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และเพื่อกันและกัน

ผมได้ยินตัวอย่างจากผู้ใหญ่ของชาติว่า เช่นกรณี บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย ในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ มีกิจการในเครือถึงกว่า 200 บริษัท แต่เมื่อทบทวนตนเอง ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ทำเฉพาะกิจการที่ถนัดในสายซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เคมีปิโตรเลียม และสายกระดาษและบรรจุภัณฑ์ ลดกิจการที่ถนัดน้อยกว่าให้คนอื่นซื้อไปตามเหมาะสม ก็ทำให้มีกิจการเฉพาะที่ถนัด บริหารงานได้ก้าวหน้า และทำกำไรได้ปีละหลายหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน

3.เลี่ยงอบายมุข : อบายมุขที่สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจพอเพียงคงเป็นเรื่อง “การพนัน” โดยเฉพาะการเล่นหวย ผมได้ยินชาวจีนเคยพูดว่า “หวย” เป็นเทคนิคการเก็บภาษีเพิ่มมานับหลายร้อยปีในประเทศจีน เพราะประชาชนในยุคนั้นไม่ยินดีจ่ายภาษี

รัฐบาลจึงออก “หวย” เพื่อล่อให้ประชาชนซื้อและหวัง “รวยทางลัด” การหวังพึ่งเพียงโชคชะตาที่ไม่แน่นอน ทำให้ชาวบ้านยากจนต่อเนื่อง และท้ายที่สุดก็จะพึ่งตนเองลำบาก สูญเสียรายได้ส่วนหนึ่งไปกับการพนันและการเล่นหวยจนไม่สามารถรักษาตนอยู่ในระดับความพอเพียงในชีวิตได้

เด็กๆจะเป็นอนาคตของชาติ คำขวัญวันเด็กมีคุณค่าในการปลูกฝังให้คนไทยในยุคหน้าได้มีการพัฒนา หวังว่า เราทุกคนจะมีส่วนช่วยรณรงค์ให้เด็กๆไทยรุ่นใหม่เข้าใจ และ “มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง เลี่ยงอบายมุข” (รวมถึงเด็กๆอย่างเราทุกคนด้วย)

กำลังโหลดความคิดเห็น