จับตาทุนต่างชาติสวนกระแสพ.ร.บ.ต่างด้าว เล็งร่วมทุนโปรเจตก์อสังหาฯในหัวหิน บิ๊กอุบลชาติชี้ทุนยุโรปที่มีสำนักงานอยู่ในสิงคโปร์ สนโครงการคีรีนครา หัวหิน กำหนดเงื่อนไขต้องก่อสร้างไปกว่า 40% พร้อมพลิกกลยุทธ์ขายโครงการหัวหิน ผ่องน้ำหนักเจาะลูกค้าคนไทย 40% จากที่เน้นลูกค้าชาวต่างชาติถึง 90% หลังเกิดกฎหมายต่างด้าวขึ้นมา ยอดขายหายวูบไปกว่า 30%
นายวสันต์ อุบลชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุบลชาติ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยถึงผลจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ว่า ในส่วนนี้ทางบริษัทได้ปรับแผนการทำตลาดใหม่ เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะโครงการคีรีนครา หัวหิน โดยหันมาทำตลาดเน้นลูกค้าคนไทยมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ กลุ่มลูกค้าจะเป็นชาวต่างประเทศ 90% ที่เหลือ 10% เป็นคนไทย ต้องปรับสัดส่วนใหม่หันมาเน้นลูกค้าคนไทยมากขึ้นโดยลูกค้าชาวไทยจะอยู่ที่ 40% อีก 60% เป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการตลาดใหม่ ทางโครงการเตรียมเพิ่มแบบบ้านใหม่ที่มีขนาดเล็กลง โดยมีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านขนาด 90-100 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขาย 2-2.2 ล้านบาท จะเปิดขายในเดือนกุมภาพันธ์ จากปัจจุบันมีแบบบ้านที่เปิดขาย 3 แบบ จำนวน 103 หลัง ขนาดเริ่มต้น 128-200 ตร.ม ราคาขาย 3-8 ล้านบาท เนื้อที่ 40 ไร่ มูลค่าโครงการ 465 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 20 หลัง
“ตั้งแต่เปิดขายโครงการคีรีนครา ก็ได้รับผลกระทบหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ การปฏิวัติ กฎหมายนอมินี หรือการวางระเบิดในหลายจุด ซึ่งที่ผ่านมาเหตุการณ์ รวมๆ ได้ทำให้ยอดขายวูบไปกว่า 30% ขณะที่ลูกค้าต่างชาติหายไป 50% ” นายวสันต์ กล่าว
นอกจากนี้ ในเรื่องของนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้ชาวต่างชาติเช่าซื้ออสังหาริมทรัยพ์ โดยผ่านบริษัท ไทยแลนด์ ลองสเตย์ จำกัด ที่มีหน่วยงานหลักอย่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถือหุ้นอยู่ 30% ร่วมกับบริษัทเอกชน จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่เป็นตัวกลางนั้น ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนว่า การดำเนินการในรูปแบบดังกล่าว มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแพงจนเกินไป ทั้งนี้ชาวต่างชาติที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องเสียค่าแรกเข้า 3-4 แสนบาท ตามขนาดของโครงการ และยังต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี ปีละอย่างน้อย 1 แสนบาท โดย บริษัทไทยลองสเตย์จะเป็นตัวกลางในการจัดเตรียมเอกสารทางด้านกฎหมาย ด้านวีซ่า รวมถึงการปล่อยเช่าให้ โดยจะการันตีรายได้จากการเช่าให้อย่างน้อย 5-6% ต่อปี
“การจัดตั้งไทยแลนด์ลองสเตย์ ถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยได้เริ่มโครงการที่จังหวัดภูเก็ต ขยายมายังหัวหิน ต่อไปจะนำไปใช้ที่พัทยา และเชียงใหม่ต่อไป แต่ยังไม่ได้รับความนิยม และได้รับการร้องเรียอย่างมาก เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราสูง ทำให้ ชาวต่างชาติหลายราย หันมาใช้วิธีการเช่า หรือด้วยรูปแบบจัดตั้งบริษัทเพื่อมาซื้ออสังหาริมทรัพย์”นายวสันต์กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจไปยัง โรงแรม ระดับ 3-4 ดาว ที่ตั้งอยู่ภายในโครงการคีรีนครา บนเนื้อที่ 5 ไร่ จำนวน 65 ห้อง มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท ขณะนี้มีชาวต่างชาติ 2 รายสนใจจะเข้ามาร่วมทุน โดยเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง แต่มีฐานธุรกิจอยู่ในยุโรป จะเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการได้เมื่อก่อสร้างโครงการคีรีนครา ไปแล้ว 40% อย่างไรก็ตามหากการเจรจาไม่คืบหน้าบริษัทอาจจะดำเนินการด้วยตนเอง
สำหรับโครงการคีรีนครา บริษัทฯมีแผนที่จะนำโครงการไป โรดโชว์ต่างประเทศ ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ คาดว่าจะสามารถปิดการขายในปีนี้ โดยปีนี้รายได้จากยอดโอนโครงการนี้ 80% ขณะที่โครงการเดอะฟิฟท์ คอนโดมิเนียม ที่จะก่อสร้างเสร็จในปีนี้ บริษัทจะมีรายได้จากการโอนปีนี้ 450 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินอีก 2 แปลง อยู่ใกล้กับโครงการเดอะฟิฟท์ ขนาด 2 ไร่และ 6 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต
นายวสันต์ อุบลชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุบลชาติ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยถึงผลจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจคนต่างด้าว ว่า ในส่วนนี้ทางบริษัทได้ปรับแผนการทำตลาดใหม่ เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะโครงการคีรีนครา หัวหิน โดยหันมาทำตลาดเน้นลูกค้าคนไทยมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ กลุ่มลูกค้าจะเป็นชาวต่างประเทศ 90% ที่เหลือ 10% เป็นคนไทย ต้องปรับสัดส่วนใหม่หันมาเน้นลูกค้าคนไทยมากขึ้นโดยลูกค้าชาวไทยจะอยู่ที่ 40% อีก 60% เป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการตลาดใหม่ ทางโครงการเตรียมเพิ่มแบบบ้านใหม่ที่มีขนาดเล็กลง โดยมีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านขนาด 90-100 ตารางเมตร(ตร.ม.) ราคาขาย 2-2.2 ล้านบาท จะเปิดขายในเดือนกุมภาพันธ์ จากปัจจุบันมีแบบบ้านที่เปิดขาย 3 แบบ จำนวน 103 หลัง ขนาดเริ่มต้น 128-200 ตร.ม ราคาขาย 3-8 ล้านบาท เนื้อที่ 40 ไร่ มูลค่าโครงการ 465 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 20 หลัง
“ตั้งแต่เปิดขายโครงการคีรีนครา ก็ได้รับผลกระทบหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ การปฏิวัติ กฎหมายนอมินี หรือการวางระเบิดในหลายจุด ซึ่งที่ผ่านมาเหตุการณ์ รวมๆ ได้ทำให้ยอดขายวูบไปกว่า 30% ขณะที่ลูกค้าต่างชาติหายไป 50% ” นายวสันต์ กล่าว
นอกจากนี้ ในเรื่องของนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้ชาวต่างชาติเช่าซื้ออสังหาริมทรัยพ์ โดยผ่านบริษัท ไทยแลนด์ ลองสเตย์ จำกัด ที่มีหน่วยงานหลักอย่าง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถือหุ้นอยู่ 30% ร่วมกับบริษัทเอกชน จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่เป็นตัวกลางนั้น ขณะนี้ได้รับการร้องเรียนว่า การดำเนินการในรูปแบบดังกล่าว มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแพงจนเกินไป ทั้งนี้ชาวต่างชาติที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องเสียค่าแรกเข้า 3-4 แสนบาท ตามขนาดของโครงการ และยังต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี ปีละอย่างน้อย 1 แสนบาท โดย บริษัทไทยลองสเตย์จะเป็นตัวกลางในการจัดเตรียมเอกสารทางด้านกฎหมาย ด้านวีซ่า รวมถึงการปล่อยเช่าให้ โดยจะการันตีรายได้จากการเช่าให้อย่างน้อย 5-6% ต่อปี
“การจัดตั้งไทยแลนด์ลองสเตย์ ถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยได้เริ่มโครงการที่จังหวัดภูเก็ต ขยายมายังหัวหิน ต่อไปจะนำไปใช้ที่พัทยา และเชียงใหม่ต่อไป แต่ยังไม่ได้รับความนิยม และได้รับการร้องเรียอย่างมาก เพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตราสูง ทำให้ ชาวต่างชาติหลายราย หันมาใช้วิธีการเช่า หรือด้วยรูปแบบจัดตั้งบริษัทเพื่อมาซื้ออสังหาริมทรัพย์”นายวสันต์กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทยังมีแผนขยายธุรกิจไปยัง โรงแรม ระดับ 3-4 ดาว ที่ตั้งอยู่ภายในโครงการคีรีนครา บนเนื้อที่ 5 ไร่ จำนวน 65 ห้อง มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท ขณะนี้มีชาวต่างชาติ 2 รายสนใจจะเข้ามาร่วมทุน โดยเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง แต่มีฐานธุรกิจอยู่ในยุโรป จะเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการได้เมื่อก่อสร้างโครงการคีรีนครา ไปแล้ว 40% อย่างไรก็ตามหากการเจรจาไม่คืบหน้าบริษัทอาจจะดำเนินการด้วยตนเอง
สำหรับโครงการคีรีนครา บริษัทฯมีแผนที่จะนำโครงการไป โรดโชว์ต่างประเทศ ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ คาดว่าจะสามารถปิดการขายในปีนี้ โดยปีนี้รายได้จากยอดโอนโครงการนี้ 80% ขณะที่โครงการเดอะฟิฟท์ คอนโดมิเนียม ที่จะก่อสร้างเสร็จในปีนี้ บริษัทจะมีรายได้จากการโอนปีนี้ 450 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินอีก 2 แปลง อยู่ใกล้กับโครงการเดอะฟิฟท์ ขนาด 2 ไร่และ 6 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต