xs
xsm
sm
md
lg

อานุภาพระเบิดจะแรงเพียงใด ขึ้นกับใจคนไทยทุกคน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมเกิดมาแล้วกว่า 40 ปี (แม้จะดูเหมือนอายุไม่ถึงก็ตาม) นับแต่จำความได้ ก็ยังไม่เคยเห็นการก่อวินาศกรรมในเมืองไทย ถึงขั้นวางระเบิดในพื้นที่ กทม.

แต่จะว่าไป นับหลายสิบปีเหมือนกัน ที่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาไม่เคยเห็นการถูกโจมตีตึกใหญ่ที่เขาภาคภูมิใจ จนสูญเสียผู้คนมากมายและทรัพย์สินมหาศาล หรือ อังกฤษต้องเผชิญกับการก่อการร้าย จนเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงจราจรเป็นอัมพาตเช่นนั้นอยู่หลายวัน

ผมเคยวิตกในช่วงเหตุการณ์ 9/11 ที่เครื่องบินชนตึก โดย “เชื่อ” เบื้องต้นในแง่ลบว่า มันจะนำไปสู่การที่คนจะกล้าเดินทางน้อยลง กิจการการบินต้องลดคนงาน กิจการท่องเที่ยวซบเซา

ความกังวลว่าหุ้นจะตกต่ำรุนแรง จะส่งผลให้กองทุนถูกถอนการลงทุนจากนักลงทุนผู้ตกใจ และเกิดผลกระทบโดมีโนทำให้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย ทั้งจากการก่อการร้าย และการที่หลักทรัพย์มีมูลค่าตกต่ำ จนผู้คนไม่จับจ่ายใช้สอย และหากใช้จ่ายกันน้อย แต่ละคนก็จะค้าขายได้น้อย แล้วเศรษฐกิจที่แท้จริงก็จะตกต่ำไปทั่ว หุ้นก็ยิ่งน่าจะลงต่อ นับเป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวต่อเนื่องจริงๆ

***แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ธนาคารกลางคิดอย่างรอบคอบ และมองออกว่า หากไม่ทำอะไร เงินคงออกจากตลาดหุ้นเพราะมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปเข้าตลาดพันธบัตรมากมาย และเกิดผลโดมีโนได้ นอกจากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้ความต้องการเงินกู้น้อยลง ดังนั้น โดยกลไกตลาด น่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้ จึงได้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงก่อน แล้วจึงเปิดให้ทำการซื้อขายหุ้น ผมสังเกตว่าได้ผลดี เพราะหุ้นลงไม่มากอย่างที่คิด***

ประชาชนของเขา ก็มีขวัญที่เข้มแข็ง เขารู้ว่า วินาศกรรมที่ตึกเวิลด์เทรด แม้เสียหายมาก แต่จะจำกัดวงแคบ ถ้าประชาชนไม่ตื่นตระหนกเกินไป ไม่ต้องแย่งกันขาย เพื่อเอาตัวรอดส่วนตัว แต่เป็นเวลาที่ประชาชนทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจต่อต้านศัตรูร่วมผู้ไม่หวังดีต่อชาติของเขา แรงถอนหน่วยลงทุนจึงไม่มากเกินไป กองทุนของเขาจึงไม่ได้ถล่มขายมากเกินไป และมีแรงรับซื้อเข้ามาช่วยด้วย แม้จะมีการลดคนงานในบางธุรกิจบ้าง แต่ก็ไม่มากเกินไป และในที่สุดสามารถฟื้นคืนสถานการณ์จนได้

***ผมว่าเป็นเพราะ “ความเชื่อ” และ “ความรักสามัคคีในชาติ” ที่ทำให้ชาติของเขาแก้ไขปัญหาไปได้ในที่สุด แน่นอน ไม่ได้แปลว่า ปัญหาจะจบสิ้นเชิง แต่ก็อยู่ในระดับที่ถือว่า ผ่านวิกฤตนั้นมาได้***

นี่เป็นไปตามหลักการครับที่ว่า ***“เชื่อแล้วจึงเห็น”*** ไม่ใช่ *** “เห็นแล้วจึงเชื่อ”*** เชื่ออย่างไร ก็นำไปสู่อย่างนั้นครับ เชื่อว่าสุขก็สุข เชื่อว่าทุกข์ก็ทุกข์

เชื่อว่า ***“โลกและชีวิตเราถูกสร้างมาอย่างดี ชีวิตนี้เป็นสุข” ก็เป็นสุข เชื่อว่า “โลกและชีวิตเกิดมาอย่างเป็นทุกข์”*** ก็เป็นทุกข์ เชื่อว่า ***“แผ่นดินสวรรค์เป็นอย่างไร ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก”*** โลกก็จะใกล้สวรรค์มากขึ้น

หากเชื่อว่า ***“โลกนี้ คนมีโอกาสคิดชั่ว ทำความชั่วมาก อาจได้ดี (วัดกันที่สมบัติ เงินทอง อำนาจ ไม่ใช่คุณงามความดี)”*** โลกก็จะลำบาก คนก็จะถูกอำนาจลบครอบงำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความโลภ การเบียดเบียนเอาเปรียบกัน การทำร้ายกันแม้บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง (หากระเบิดที่เกิดขึ้น มีคนไทยกันเองอยู่เบื้องหลัง) การไม่กลัวความบาป ความโกรธ ความกลัว ความเครียด ซึ่งก็จะยืนยันให้ใจเป็นทุกข์ตามที่เชื่อ

แต่ถ้าเชื่อใน “ทางสว่าง” ร่วมกันว่าทุกปัญหาจะมีทางออก เราต้องมีความเข้มแข็ง มีความหวัง และมีความสุข และภาวนาให้ทุกสิ่งดีขึ้น ชีวิตก็จะดีขึ้นครับ

และ “ความรักสามัคคี” ก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนอยู่เสมอ ยิ่งมีปัญหาโจมตีประชาชน บ้านเมือง และรัฐบาลด้วยความไม่ประสงค์ดีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นศัตรูจากนอกประเทศ หรือ คนไทยกันเอง เราชาวไทยต้องรู้รักสามัคคียิ่งขึ้น รักกันมากขึ้น
ในประวัติศาสตร์ที่เราเคยเสียเมืองแต่ละครั้ง ก็เกิดจากการแตกความสามัคคีกันในประเทศนั่นแหละครับ

ครั้งนี้ การที่โจรร้าย จะรู้จุดวางระเบิดในกรุงเทพฯ หลบหนีการตรวจจับได้ ต้องใช้เงิน พวกพ้อง และข้อมูลไม่น้อย จึงกล้าทำและทำได้ขนาดนี้ ก็ขอให้คนไทยที่คิดร้ายต่อชาติไทยกลับใจด้วยครับ

ผมได้ยินบางคนปล่อยข่าวสร้างความคิดในทางเลวร้าย ถึงขั้นสงสัยว่า “รัฐบาล หรือ คมช. ทำเอง” ผมก็อยากแลกเปลี่ยนความเห็นว่า ไม่น่าเป็นไปได้

สิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้คนไทยมีความสุขน้อยลง เครียดมากขึ้น และทำให้ศรัทธาต่อรัฐบาลสั่นคลอน รัฐบาลนี้อาสาเข้ามาเพียงชั่วคราว เพื่อแก้ปัญหาความแตกแยก การใช้อำนาจทุจริต ย่อมหวังให้เศรษฐกิจประคองตัวไปได้ ระเบิดที่เกิดขึ้นเจาะจงเทศกาลฉลองปีใหม่ ช่วงติดตามการเฉลิมฉลองในแต่ละประเทศ เหตุการณ์นี้จึงถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกผ่านสื่อสากลเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศและรัฐบาลไทย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นรัฐบาลทำเอง

บ้างสร้างข้อสงสัยถึงขั้นว่า รัฐบาลนี้ทำเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลที่แล้ว ผมว่าเป็นไปไม่ได้เช่นกัน เฉพาะกรณีทุจริตที่กำลังจะออกมา รวมถึงกรณีภาษี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่การพิจารณาจะกระทำได้ โดยที่จำเลยมิได้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จจะออกมาอย่างโปร่งใส ดูเหมือนความพยายามที่จะบอกว่า “ให้เวลาสมานฉันท์มาพอแล้ว” หรือ “ต้องให้อดีตผู้นำกลับมาให้การด้วยตนเอง (ทั้งที่ในอดีต นิยมให้การผ่านเอกสาร)” ก็ดูเหมือนจะมีความพยายามขัดขวางไม่ให้ความจริงปรากฏอยู่ระดับหนึ่ง กระบวนการที่จะต้องวางระเบิดเพื่อลดเครดิตรัฐบาลที่แล้วจึงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน

ขณะเดียวกัน หากทำให้คนไทยไม่คิดถึง “สันติ” คิดเพียง “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ผมก็ไม่เห็นด้วยครับ คานธีเคยบอกว่า “ตาต่อตา ทำให้โลกตาบอด” ผมก็เชื่อเช่นนั้น คนไทยไม่ควรจะให้ถึงจุด คนกลุ่มหนึ่งเอาชนะคนอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ให้ “ความถูกต้องชอบธรรม” ชนะ “ความผิดบาป” และเปิดเผยข้อมูลกันอย่างโปร่งใสจะดีกว่าครับ

ผมขออย่าให้อานุภาพระเบิด มาทำให้จิตใจเราหดหู่ เป็นทุกข์ อยู่ภายใต้ความโกรธ ความวิตกหรือความหวาดกลัวกันเลยครับ อนึ่ง แม้ผมไม่อยากสรุปอะไรในแง่ร้าย แต่เหตุการณ์นี้คงต้องมีคนไทยช่วยศัตรู หรืออยู่เบื้องหลังเอง ผมขอให้ทุกคนเอาชนะมารในจิตใจ กลับใจร่วมสร้างสันติให้แผ่นดิน รู้รักสามัคคีดังคำสอนของพ่อหลวงของเรา เพื่อให้แผ่นดินไทย “ของเรา” ก้าวหน้ายั่งยืนครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)

กำลังโหลดความคิดเห็น