ประธานศาลฎีกาชี้ขาด ศาลภาษีมีอำนาจพิจารณาคดี "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" นักธุรกิจ ฟ้องสรรพากร ให้รับคืนเช็คจ่ายภาษีเงินซื้อขายหุ้นไม่ชอบ นัดพิพากษา 28 ธ.ค.นี้ โจทก์ยัน สรรพากรต้องใช้มาตรฐานเดียวกันเรียกเก็บภาษีหุ้น ไม่เว้นแม้ตระกูลชินวัตร
วานนี้(21 พ.ย.) ที่ศาลภาษีอากรกลาง ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดชี้ 2 สถานเพื่อฟังคำสั่งการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาล คดีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2546 ซึ่งโจทก์รับหุ้นจากบิดา อันเป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จึงประเมินให้ชำระภาษีรายได้และเงินเพิ่มอีก 21,350 บาท โดยโจทก์ชำระแล้ววันที่ 18 มิถุนายน 2547 ซึ่งต่อมาโจทก์ยอมรับในการพิจารณาอุทธรณ์และการเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าว
ต่อมานายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพ ฯ 3 มีหนังสือถึงโจทก์ระบุว่า ประโยชน์จากการโอนหุ้นที่โจทก์แสดงไว้ในรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ไม่ถือเป็นเงินพึงประเมินที่ต้องชำระภาษีเงินเพิ่ม ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงผลประโยชน์การซื้อขาย โอนหุ้นในแบบแสดงภาษีว่าเป็นเงินรายได้ จนกว่าโจทก์จะได้ขายหุ้นนั้นและได้รับผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าการลงทุน
ซึ่งต่อมากรมสรรพากรได้ส่งคืนเช็คเงินที่โจทก์ชำระไปแล้ว แต่โจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 39 การกระทำของนายสุเทพ ทำเพื่อประโยชน์บางประการแก่ผู้มีอำนาจทางการเมือง และญาติพี่น้องของนักการเมือง
ศาลภาษี ฯพิจารณาคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยได้ต่อสู้ว่าคดีไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีศาลภาษี ฯ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลภาษีหรือไม่ ศาลจึงส่งสำนวนคดีให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ ทั้งนี้ศาลฎีกาโดยประธานศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วชี้ขาดว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษี ฯ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษี ฯ มาตรา 7 (2) เนื่องจากคดีนี้เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร
ภายหลังศาลอ่านคำสั่งของประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลแล้ว ศาลสรุปรายงานกระบวนพิจารณาคดีว่า เมื่อคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลภาษี ฯ ต้องพิจารณาพิพากษาแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัย 2 ประการ 1.โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และ 2.การจ่ายเช็คของจำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงตามพยานเอกสารที่โจทก์ - จำเลย แสดงต่อศาลแล้ว และคดีไม่จำต้องสืบพยานบุคคลอีก จึงมีคำสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย โดยนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 ธันวาคม เวลา 13.30 น.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กล่าวยืนยันว่า ในการชำระภาษีที่สืบเนื่องจากการซื้อขาย และโอนหุ้น คณะกรรมการอุทธรณ์ ฯ มีความเห็นชัดแจ้งแล้วว่าตนต้องเสียภาษี ซึ่งตนก็ยอมรับและได้มีการชำระภาษีไปแล้ว ดังนั้นข้อพิพาทของตนจึงเทียบเคียงได้กับกรณีของการรับโอนหุ้นของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ที่จะต้องเสียภาษี เนื่องจากธุรกรรมมีลักษณะคล้ายกัน แต่มูลค่าภาษีที่ต้องชำระจะเป็นจำนวนมาก น้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับ มูลค่าผลประโยชน์หุ้นที่รับ - ซื้อขาย มา ซึ่งเมื่อกรณีของตน กรมสรรพากร ได้ประเมินและเรียกภาษีเงินเพิ่มไปแล้ว ก็ต้องนำมาเป็นบรรทัดฐานจัดเก็บภาษีกับบุคคล และเอกชนรายอื่นด้วย ไม่ใช่ใช้มาตรฐานไม่เหมือนกัน ซึ่งเวลาที่ถูกเรียกเก็บภาษี กรมสรรพากร ยังไม่เคยเรียกตนเข้าชี้แจงเหมือนกรณีของหุ้นชินวัตรเลย แต่ถูกประเมินรายได้ และให้ชำระภาษีทันที
วานนี้(21 พ.ย.) ที่ศาลภาษีอากรกลาง ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดชี้ 2 สถานเพื่อฟังคำสั่งการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาล คดีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2546 ซึ่งโจทก์รับหุ้นจากบิดา อันเป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ จึงประเมินให้ชำระภาษีรายได้และเงินเพิ่มอีก 21,350 บาท โดยโจทก์ชำระแล้ววันที่ 18 มิถุนายน 2547 ซึ่งต่อมาโจทก์ยอมรับในการพิจารณาอุทธรณ์และการเรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าว
ต่อมานายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพ ฯ 3 มีหนังสือถึงโจทก์ระบุว่า ประโยชน์จากการโอนหุ้นที่โจทก์แสดงไว้ในรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ไม่ถือเป็นเงินพึงประเมินที่ต้องชำระภาษีเงินเพิ่ม ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงผลประโยชน์การซื้อขาย โอนหุ้นในแบบแสดงภาษีว่าเป็นเงินรายได้ จนกว่าโจทก์จะได้ขายหุ้นนั้นและได้รับผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าการลงทุน
ซึ่งต่อมากรมสรรพากรได้ส่งคืนเช็คเงินที่โจทก์ชำระไปแล้ว แต่โจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 39 การกระทำของนายสุเทพ ทำเพื่อประโยชน์บางประการแก่ผู้มีอำนาจทางการเมือง และญาติพี่น้องของนักการเมือง
ศาลภาษี ฯพิจารณาคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยได้ต่อสู้ว่าคดีไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีศาลภาษี ฯ จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลภาษีหรือไม่ ศาลจึงส่งสำนวนคดีให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ ทั้งนี้ศาลฎีกาโดยประธานศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วชี้ขาดว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษี ฯ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษี ฯ มาตรา 7 (2) เนื่องจากคดีนี้เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร
ภายหลังศาลอ่านคำสั่งของประธานศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเขตอำนาจศาลแล้ว ศาลสรุปรายงานกระบวนพิจารณาคดีว่า เมื่อคดีอยู่ในเขตอำนาจศาลภาษี ฯ ต้องพิจารณาพิพากษาแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัย 2 ประการ 1.โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และ 2.การจ่ายเช็คของจำเลยชำระเงินคืนแก่โจทก์นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงตามพยานเอกสารที่โจทก์ - จำเลย แสดงต่อศาลแล้ว และคดีไม่จำต้องสืบพยานบุคคลอีก จึงมีคำสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย โดยนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 ธันวาคม เวลา 13.30 น.
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กล่าวยืนยันว่า ในการชำระภาษีที่สืบเนื่องจากการซื้อขาย และโอนหุ้น คณะกรรมการอุทธรณ์ ฯ มีความเห็นชัดแจ้งแล้วว่าตนต้องเสียภาษี ซึ่งตนก็ยอมรับและได้มีการชำระภาษีไปแล้ว ดังนั้นข้อพิพาทของตนจึงเทียบเคียงได้กับกรณีของการรับโอนหุ้นของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ที่จะต้องเสียภาษี เนื่องจากธุรกรรมมีลักษณะคล้ายกัน แต่มูลค่าภาษีที่ต้องชำระจะเป็นจำนวนมาก น้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับ มูลค่าผลประโยชน์หุ้นที่รับ - ซื้อขาย มา ซึ่งเมื่อกรณีของตน กรมสรรพากร ได้ประเมินและเรียกภาษีเงินเพิ่มไปแล้ว ก็ต้องนำมาเป็นบรรทัดฐานจัดเก็บภาษีกับบุคคล และเอกชนรายอื่นด้วย ไม่ใช่ใช้มาตรฐานไม่เหมือนกัน ซึ่งเวลาที่ถูกเรียกเก็บภาษี กรมสรรพากร ยังไม่เคยเรียกตนเข้าชี้แจงเหมือนกรณีของหุ้นชินวัตรเลย แต่ถูกประเมินรายได้ และให้ชำระภาษีทันที