xs
xsm
sm
md
lg

ความพอเพียง = ความเชื่อ เหนือ ความคาดหวัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมได้ทบทวนเรื่องความพอเพียงเป็นระยะๆ ผมเกิดแรงบันดาลใจถึงเรื่อง ความเชื่อ เหนือความคาดหวัง เราคงเคยได้ยินเรื่องตั้งแต่ยุคปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งใน 6 วัน เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้างไว้ ทรงเห็นว่าดีนัก และพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายของพระเจ้า ทรงสร้างอาดัม กับ เอวา ให้เป็นชายและหญิงคู่กัน ให้อยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและรักษาสวน ให้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งปวง ยกเว้น “ต้นไม้แห่งปัญญา” ที่พระเจ้าไม่ให้รับประทาน ผลของต้นไม้นั้น เพราะในวันใดที่ขืนกิน จะต้องตายแน่

ในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย งู (ซาตาน) ฉลาดกว่าหมด งูจึงพูดกับเอวา หญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว" แล้วเอวาและอาดัมจึงได้รับประทานผลไม้นั้น และมนุษยชาติก็ต้องตาย

บทเรียนจากเรื่องราวในปฐมกาลก็คือ พระเจ้าทรงสร้างทุกอย่างมา “ดีนัก” มนุษย์ได้รับสิทธิพิเศษให้ครอบครองสรรพสิ่ง แต่ก็มีบางสิ่งที่พระเจ้าให้รู้ว่า “ไม่ใช่ของเรา” ก็คือผลไม้ของต้นไม้นั้น หากอาดัม และเอวา เชื่อในพระเจ้า รู้จักพอเพียง ก็คงไม่ดื้อ ไม่เชื่อซาตาน ก็จะไม่อยากและไม่ไปรับผลไม้ซึ่งไม่ใช่ของตนนั้น

พระเจ้าสร้างเราตามพระฉาย ไม่ใช่เป็นเพียงตุ๊กตาที่เอาไว้ตกแต่งเล่นเท่านั้น ไม่ใช่ให้เพียงแต่ครอบครอง “สิ่งของ” เท่านั้น แต่ทรงให้มีความคิด ให้รู้จักคิด ให้รู้จักความพอเพียง เมื่อเราสอนลูก เราก็คงไม่อยากเพียงแต่ให้ลูกได้ “สิ่งของ” เท่านั้น เราหวังให้ลูกเรียนรู้ที่จะมีความสุขแม้มีความขาดในสิ่งที่คาดหวังอยากมีอยากได้ คือความพอเพียงนั่นเอง

ชีวิตเราก็ได้ครอบครองสิ่งต่างๆ มากมาย ยุคเรามีสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ภูเขา ต้นไม้ ทะเล สายน้ำ อากาศสดชื่น เรามีกันและกันมากมาย เป็นลูกค้าของกันและกัน ขายสินค้าและให้บริการแก่กันและกัน เพียงแต่เราเชื่อว่า ทุกสิ่งเหล่านี้ ได้รับการทรงสร้างมาอย่าง “ดีนัก” ชีวิตก็มีความสุข ชื่นชมยินดี

ในขณะที่พระเจ้าทรงสอนเราให้มองโลกในแง่ดี สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างนั้น “ดีนัก” ซาตานกลับพยายามให้มองโลกในแง่ลบ ในยุคนั้น อาดัมกับเอวาได้ครอบครองดูแลทุกๆ อย่าง ยกเว้นต้นไม้นั้น ซาตานยังชวนให้มองไปในจุดที่พระเจ้าไม่ได้ให้

ผมดีใจที่เรารณรงค์ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง หากเราเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราแต่ละคนมีนั้น “ดีนัก” เราก็มีความสุข ไม่ควรมีความคาดหวังในสิ่งที่เกินตัว

เราควรเพียงพอด้วยความยินดี ในความเป็นคนไทย ได้รับพระคุณแผ่นดินไทย มีโอกาสในการทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่ควรเอาเปรียบกัน เราควรเชื่อว่า “ดีแล้ว” ไม่ควร “คาดหวัง” ว่าภาครัฐจะต้องช่วยให้มีเงินได้ง่ายๆ โดยเป็นภาระสำหรับตนเองในอนาคต หรือ ภาครัฐต้องก่อภาระหนี้หรือซ่อนภาระหนี้เกินตัวในอนาคต

เราควรเชื่อว่า ผู้นำที่ดีคือ ผู้มีความสามารถ มีปัญญา และมีความซื่อสัตย์สุจริต จึงจะนำบ้านเมืองไปในทางที่ดีได้ และเป็นแบบอย่างที่ดีของประชาชนและเยาวชนทั่วไป แต่เราไม่ควรคาดหวังว่า ผู้นำจะดีจริงจะต้องไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ แม้จะเป็นอัตราที่แสนจะปกติก็ตาม (แต่แน่นอน ไม่ว่าผู้นำจะเป็นใคร ไม่ใช่ใครเฉพาะเจาะจง หากทุจริตมหาศาลเป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ล้านบาท เป็นแบบอย่างไม่ดี ก็คงยากที่จะเป็นที่ยอมรับของภาคประชาชน)

ผมนึกถึงคำสอนดีๆ ของพระเยซูคริสต์ว่า “บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม” ขนาดผู้ที่โศกเศร้า พระองค์ยังทรงสอนให้เป็นสุข พระองค์ทรงสอนให้คนมองโลกในแง่ดี อย่างมีความสุข นับว่าเราเห็นโลกใบนี้ไม่ใช่อย่างที่โลกเป็น แต่เห็นอย่างที่เราเป็น เห็นว่าโลกเป็นโลกแห่งความสุข เราก็เป็นสุข เห็นว่าโลกเป็นโลกแห่งทุกข์ เราก็เป็นเป็นทุกข์ หากเรามองโลกในแง่ดี ก็จะมีแต่ความสุขความชื่นชมยินดี

มีคำสอนอีกว่า “บุคคลผู้ใดมีใจถ่อม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก” ใจถ่อม คือยอมรับว่า พระองค์ทรงสร้างทุกอย่างมาอย่างดี ชีวิตเราที่เป็นเราก็ดีนัก ชีวิตก็พอเพียง และย่อมมีแต่ความสุข เพราะเท่ากับว่า เขาจะได้รับแผ่นดินโลกนี้เป็นมรดกอย่างแท้จริง

และมีอีกคำสอนว่า “บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์” คนเราจะมีความสุขแท้ ถาวรได้เมื่อเราสามารถเป็นสุขได้ถึงจิตวิญญาณ มิเช่นนั้น แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ขาดความชอบธรรม ชีวิตก็ยากจะมีความสุขแท้ได้

หากเราเรียนรู้ที่จะรักษาความเชื่อ มองโลกในแง่ดี เชื่อว่าโลกเรานี้ดีนัก เชื่อว่าสิ่งที่เรามีนั้นพอเพียง เชื่อว่าโลกนี้มีความชอบธรรมได้ ไม่คาดหวังสิ่งใดที่เกินความพอประมาณ หากเราไม่เสียความเชื่อไปเสียก่อน เราจะได้เห็นแผ่นดินสวรรค์บนแผ่นดินโลกได้แน่นอนครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น