ศูนย์ข่าวภูเก็ต -"บลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่" เข้าบริหารงานสนามกอล์ฟต่อแล้ว ตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง สั่งมิวเร็กซ์ ห้ามยุ่งเกี่ยวขัดขวาง รวมทั้งห้ามบอกเลิกสัญญาการจัดการฉบับวันที่ 31ก.ค.46 ทนายเซียะ เลง เยิน เผยฟ้องดำเนินคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเบื้องต้นแล้วกว่า100ล้าน ขณะที่ทีมทนายมิวเร็กซ์ ยืนยันเข้าบริหารจัดการแทนบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ จำกัดได้
วานนี้ (9พ.ย) นายเซียะ เลง เยิน กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ จำกัด นักลงทุนชาวสิงคโปร์ พร้อมด้วยนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ และคณะ ได้เดินทางไปยังคลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟบลูแคนยอน คันทรี คลับ จ.ภูเก็ต เพื่อเข้าบริหารจัดการตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง ซึ่งมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
พร้อมด้วยคำสั่งศาลล้มละลายกลางลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ความแพ่ง เกี่ยวเนื่องกับล้มละลาย ระหว่างบริษัทบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ จำกัด และบริษัทบีซีกอล์ฟ รีสอร์ทแมเนจเม้น จำกัด โจทก์ที่ 1และ 2 ที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องของการละเมิดผิดสัญญา ระหว่างจำเลยจำนวน 10 คน ประกอบด้วย นายเรวัต จินดาพล นายรณชัย จินดาพล นายเนื่อง การเกตุ บริษัทมิวเร็กซ์ จำกัด นายวิชิต จิรัฐิเจริย นายอิทธิกร กฤษณะโยธิน นายวิสุทธิ์ ศรีแสงแก้ว นายชัยชนะ รัตนไตรวิรัตน์ นางวรรณี วรนิจ และนางสาวนันทพร อภิสัมภินพงศ์
ศาลล้มละลายกลางลงวันที่ 6 มีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้ง 10 เข้าไปยุ่งเกี่ยว ขัดขวางหรือรบกวน การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้ง2ตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการโจทก์ที่ 1 และห้ามจำเลยทั้งสิบเข้าไปในสำนักงาน ที่ทำงานของโจทก์ทั้งสองเป็นการขัดขวางและรบกวน การประกอบธุรกิจและการบริหารแผน จนกว่าศาลล้มละลายจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยให้จำเลยทั้ง 10ไปเอาโซ่กุญแจล็อกประตู และคืนตู้นิรภัยและเอกสารสำคัญและทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองให้กับโจทก์ทั้ง2ด้วย และเพื่อประกันความเสียหายให้โจทก์วางเงินประกันไว้จำนวน1,500,000บาทก่อนออกหมาย
นอกจากนั้น วานนี้ (9พ.ย.)ศาลล้มละลายกลางยังได้มีคำบังคับถึงบริษัท มิวเร็กซ์ จำกัดอีกหนึ่งฉบับ ว่า ด้วยคดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉบับลงวันที่ 2พฤศจิกายน 2549 ห้ามมิให้บริษัท มิวเร็กซ์ จำกัด บอกเลิกสัญญาการจัดการฉบับลงวันที่ 31กรกฎาคม 2546 เพราะฉะนั้นจึงให้บริษัท มิวเร็กซ์ จำกัด ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยทันที นับแต่วันที่ได้รับคำบังคับฉบับนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวอาจจะถูกจับและจำขัง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความของนายเซียะ เลง เยิน นักลงทุนชาวสิงคโปร์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากนายเรวัต จินดาพล พร้อมพวกจำนวน 4 คน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 คดีหมายเลขดำ1931 ขอไต่สวนฉุกเฉิน และศาลจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งให้เพิ่มกรรมการบริหารในบริษัทมิวเร็กซ์จากเดิม 5 คน เป็น 12 คนโดยเพิ่มเข้ามาจำนวน 7 คน และกำหนดให้กรรมการ ลงรายชื่อผูกพันในบริษัทได้เพียง 6 คน ร่วมกันลงลายมือชื่อโดยไม่ต้องประทับตราของบริษัท ผลดังกล่าวทำให้กรรมการชุดเดิม ไม่สามารถลงลายมือชื่อ เพื่อให้มีผลผูกพันในบริษัทได้
ต่อมานายเรวัต ก็ได้นำค่ำสั่งศาลดังกล่าวไปเปลี่ยนแปลงเพิ่มชื่อกรรมการบริษัทครบ 12คน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มกรรมการบริษัทแล้วในวันที่ 21 ตุลาคม 25 49 นายเรวัต และพวกได้เข้ามารบกวนสิทธิการครอบครองบริหารจัดการของบริษัทบลูแคนยอนบลูพร็อพเพอร์ที่ ที่นายเซียะ เลน เยิน เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ตามสัญญาจัดการลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 ซึ่งสัญญาจัดการดังกล่าวมีผลใช้บังคับจนถึงปัจจุบันนี้ โดยสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามแผนฟื้นฟู
เมื่อนายเรวัต กับพวกเข้ามารบกวนการครอบครองแผนจัดการของบริษัทบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ ทางนายเซียะ เลง เยิน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เนื่องจากมองว่าเป็นคดีอิทธิพล โดยเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 หลังจากแจ้งความทางกองปราบฯ ก็รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายเรวัตและพวก
นายบัญชา กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นได้มีการร้องตามคดีหมายเลขดำ ที่837/2544 คดีหมายเลขแดงที่1182/2544 ศาลล้มละลายกลาง โดยศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 มีคำสั่งห้ามมิให้มีการบอกเลิกสัญญาการจัดการของบริษัทบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ เพราะอาจจะมีผลต่อการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และการจัดการในส่วนนี้เป็นสาระสำคัญของการดำเนินการตามแผนฟื้ฟูกิจการ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ2483 มาตรา90/12 (8) ที่ได้บัญญัติคุ้มครองไว้ ซึ่งคำสั่งนี้มีผลเป็นการรองรับสิทธิ ของบริษัทบลูแคนยอนฯว่ามีอำนาจในการบริหารจัดการ
อย่างไรก็ตาม วานนี้( 9 พ.ย.) เมื่อศาลล้มละลายมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ศาลล้มละลายจึงได้มีคำสั่งบังคับถึงบริษัทมิวเร็กซ์ จำกัด เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง และได้มีการนำคำสั่งดังกล่าวไปติดที่บริษัทมิวเร็กซ์ ที่กรุงเทพแล้ว
จากคำสั่งต่างๆนั้นพบว่าการเข้ามารบกวนสิทธิของนายเรวัตกับพวก ต่อบริษัทบลูแคนยอนฯเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 25 49ไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้น บริษัทบลูแคนยอนจึงได้แจ้งความดำเนินคดีที่กองปราบฯ ไว้แล้ว และจะมีการดำเนินคดีกับบุคคลทั้งหมดทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ซึ่งคดีอาญา เป็นหน้าที่ของตำรวจกองปราบฯ ในการสอบสวน ส่วนคดีแพ่ง ในเบื้องต้นบริษัทบลูแคนยอนฯได้ฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายในเบื้องต้นแล้วกว่า 100ล้านบาท
นายบัญชา กล่าวต่อไปว่าการเข้ามาครั้งนี้ ของบริษัทบลูแคนยอน พร็อพเพอร์ที่ จำกัด เข้ามาตามคำสั่งศาลและมาเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลล้มละลาย และเป็นการรักษาผลประโยชน์ตามแผนฟื้นฟู แต่ปรากฏว่าตู้ยังไม่สามารถเปิดได้คงจะต้องมีการแถลงต่อศาลต่อไป ซึ่งเป็นการดำเนินการกันตามกฎหมาย เพราะไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลทั้งๆที่มีคำสั่งชัดเจนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ จริงๆแล้วทางนายเซียะ ไม่ได้ต้องการที่จะดำเนินคดีกับใครก็ตาม ที่ไม่ปฏิบัติตารมคำสั่งศาล เว้นแต่มีความจำเป็นก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และในฐานะทนายความ ก็อยากขอความร่วมมือให้บุคคลที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล หากบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ ฝ่าฟืนแผนฟื้นฟูหรือกระทำความผิดใด นายเรวัต ซึ่งเป็นถือหุ้นจำนวนน้อยก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้ ซึ่งการนายเรวัตดำเนินการเมื่อวันที่ 21ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้พนักงาน ชาวต่างชาติที่มาใช้บริการสนามกอล์ฟเกิดความไม่สบายใจรวมไปถึงเรื่องของการลงทุน จึงอยากให้คิดถึงส่วนรวมให้มากขึ้น
ด้านนายเซียะ เลง เยิน กรรมการผู้มีอำนาจบริษัทบลูแคนยอน พร็อพเพอร์ที่ กล่าวว่า เหตุผลที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพราะหวังว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในประเทศไทย และมั่นใจว่าว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วศาลจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผลออกมาเป็นอย่างไร และศาลก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ใครเป็นผู้ที่เข้ามาลงทุนที่นี้ตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว การเข้ามาลงทุนต้องผ่านวิกฤติต่างมากมาย ไม่ว่าช่วงของการระบาดของโรคซาร์ส เหตุการณ์สึนามิถล่ม มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ผ่าน แต่ไม่เคยหนีพร้อมที่จะสู้ตลอด ส่วนการลงทุนร่วมกับไดส์แบงค์นั้นคิดว่าไม่มีปัญหาทางผู้ลงทุนร่วมก็ยังมีความยินดีที่จะทำงานกันอยู่
ขณะที่ทีมทนายความของบริษัทมิวเร็กซ์ จำกัดกล่าวว่าเมื่อมีคำสั่งศาลล้มละลายมา ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม แต่คำสั่งดังกล่าวได้สั่งห้ามไม่ให้ทางบริษัทมิวเร็กซ์บอกยกเลิกสัญญาจ้าง ที่มีกับบริษัทบลูแคนยอนฯ ซึ่งก็จะปฏิบัติตาม แต่ในคำสั่งดังกล่าวไม่ได้ห้ามไม่ให้บริษัทมิวเร็กซ์เข้ามาบริหารจัดการ ในกรณีที่บริษัทบลูแคนย่อนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาจ้างจัดการข้อ 3 ซึ่งบริษัทมิวเร็กซ์ มีสิทธิเข้ามาบริหารแทนได้ในทันที ส่วนเรื่องของการเปิดนิรภัยนั้นขณะนี้ยังไม่เห็นหมายศาลมีเพียงคำสั่งศาลเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องดูกันตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง
วานนี้ (9พ.ย) นายเซียะ เลง เยิน กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท บลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ จำกัด นักลงทุนชาวสิงคโปร์ พร้อมด้วยนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ และคณะ ได้เดินทางไปยังคลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟบลูแคนยอน คันทรี คลับ จ.ภูเก็ต เพื่อเข้าบริหารจัดการตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง ซึ่งมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
พร้อมด้วยคำสั่งศาลล้มละลายกลางลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ความแพ่ง เกี่ยวเนื่องกับล้มละลาย ระหว่างบริษัทบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ จำกัด และบริษัทบีซีกอล์ฟ รีสอร์ทแมเนจเม้น จำกัด โจทก์ที่ 1และ 2 ที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องของการละเมิดผิดสัญญา ระหว่างจำเลยจำนวน 10 คน ประกอบด้วย นายเรวัต จินดาพล นายรณชัย จินดาพล นายเนื่อง การเกตุ บริษัทมิวเร็กซ์ จำกัด นายวิชิต จิรัฐิเจริย นายอิทธิกร กฤษณะโยธิน นายวิสุทธิ์ ศรีแสงแก้ว นายชัยชนะ รัตนไตรวิรัตน์ นางวรรณี วรนิจ และนางสาวนันทพร อภิสัมภินพงศ์
ศาลล้มละลายกลางลงวันที่ 6 มีคำสั่งห้ามมิให้จำเลยทั้ง 10 เข้าไปยุ่งเกี่ยว ขัดขวางหรือรบกวน การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้ง2ตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการโจทก์ที่ 1 และห้ามจำเลยทั้งสิบเข้าไปในสำนักงาน ที่ทำงานของโจทก์ทั้งสองเป็นการขัดขวางและรบกวน การประกอบธุรกิจและการบริหารแผน จนกว่าศาลล้มละลายจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยให้จำเลยทั้ง 10ไปเอาโซ่กุญแจล็อกประตู และคืนตู้นิรภัยและเอกสารสำคัญและทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองให้กับโจทก์ทั้ง2ด้วย และเพื่อประกันความเสียหายให้โจทก์วางเงินประกันไว้จำนวน1,500,000บาทก่อนออกหมาย
นอกจากนั้น วานนี้ (9พ.ย.)ศาลล้มละลายกลางยังได้มีคำบังคับถึงบริษัท มิวเร็กซ์ จำกัดอีกหนึ่งฉบับ ว่า ด้วยคดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉบับลงวันที่ 2พฤศจิกายน 2549 ห้ามมิให้บริษัท มิวเร็กซ์ จำกัด บอกเลิกสัญญาการจัดการฉบับลงวันที่ 31กรกฎาคม 2546 เพราะฉะนั้นจึงให้บริษัท มิวเร็กซ์ จำกัด ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยทันที นับแต่วันที่ได้รับคำบังคับฉบับนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำบังคับดังกล่าวอาจจะถูกจับและจำขัง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความของนายเซียะ เลง เยิน นักลงทุนชาวสิงคโปร์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากนายเรวัต จินดาพล พร้อมพวกจำนวน 4 คน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดภูเก็ตเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 คดีหมายเลขดำ1931 ขอไต่สวนฉุกเฉิน และศาลจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งให้เพิ่มกรรมการบริหารในบริษัทมิวเร็กซ์จากเดิม 5 คน เป็น 12 คนโดยเพิ่มเข้ามาจำนวน 7 คน และกำหนดให้กรรมการ ลงรายชื่อผูกพันในบริษัทได้เพียง 6 คน ร่วมกันลงลายมือชื่อโดยไม่ต้องประทับตราของบริษัท ผลดังกล่าวทำให้กรรมการชุดเดิม ไม่สามารถลงลายมือชื่อ เพื่อให้มีผลผูกพันในบริษัทได้
ต่อมานายเรวัต ก็ได้นำค่ำสั่งศาลดังกล่าวไปเปลี่ยนแปลงเพิ่มชื่อกรรมการบริษัทครบ 12คน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มกรรมการบริษัทแล้วในวันที่ 21 ตุลาคม 25 49 นายเรวัต และพวกได้เข้ามารบกวนสิทธิการครอบครองบริหารจัดการของบริษัทบลูแคนยอนบลูพร็อพเพอร์ที่ ที่นายเซียะ เลน เยิน เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ตามสัญญาจัดการลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2546 ซึ่งสัญญาจัดการดังกล่าวมีผลใช้บังคับจนถึงปัจจุบันนี้ โดยสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามแผนฟื้นฟู
เมื่อนายเรวัต กับพวกเข้ามารบกวนการครอบครองแผนจัดการของบริษัทบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ ทางนายเซียะ เลง เยิน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯ เนื่องจากมองว่าเป็นคดีอิทธิพล โดยเข้าแจ้งความเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 หลังจากแจ้งความทางกองปราบฯ ก็รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายเรวัตและพวก
นายบัญชา กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นได้มีการร้องตามคดีหมายเลขดำ ที่837/2544 คดีหมายเลขแดงที่1182/2544 ศาลล้มละลายกลาง โดยศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 มีคำสั่งห้ามมิให้มีการบอกเลิกสัญญาการจัดการของบริษัทบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ เพราะอาจจะมีผลต่อการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และการจัดการในส่วนนี้เป็นสาระสำคัญของการดำเนินการตามแผนฟื้ฟูกิจการ ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ2483 มาตรา90/12 (8) ที่ได้บัญญัติคุ้มครองไว้ ซึ่งคำสั่งนี้มีผลเป็นการรองรับสิทธิ ของบริษัทบลูแคนยอนฯว่ามีอำนาจในการบริหารจัดการ
อย่างไรก็ตาม วานนี้( 9 พ.ย.) เมื่อศาลล้มละลายมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ศาลล้มละลายจึงได้มีคำสั่งบังคับถึงบริษัทมิวเร็กซ์ จำกัด เพื่อให้ดำเนินการตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง และได้มีการนำคำสั่งดังกล่าวไปติดที่บริษัทมิวเร็กซ์ ที่กรุงเทพแล้ว
จากคำสั่งต่างๆนั้นพบว่าการเข้ามารบกวนสิทธิของนายเรวัตกับพวก ต่อบริษัทบลูแคนยอนฯเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 25 49ไม่สามารถกระทำได้ ดังนั้น บริษัทบลูแคนยอนจึงได้แจ้งความดำเนินคดีที่กองปราบฯ ไว้แล้ว และจะมีการดำเนินคดีกับบุคคลทั้งหมดทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ซึ่งคดีอาญา เป็นหน้าที่ของตำรวจกองปราบฯ ในการสอบสวน ส่วนคดีแพ่ง ในเบื้องต้นบริษัทบลูแคนยอนฯได้ฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายในเบื้องต้นแล้วกว่า 100ล้านบาท
นายบัญชา กล่าวต่อไปว่าการเข้ามาครั้งนี้ ของบริษัทบลูแคนยอน พร็อพเพอร์ที่ จำกัด เข้ามาตามคำสั่งศาลและมาเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลล้มละลาย และเป็นการรักษาผลประโยชน์ตามแผนฟื้นฟู แต่ปรากฏว่าตู้ยังไม่สามารถเปิดได้คงจะต้องมีการแถลงต่อศาลต่อไป ซึ่งเป็นการดำเนินการกันตามกฎหมาย เพราะไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลทั้งๆที่มีคำสั่งชัดเจนอยู่แล้ว
ทั้งนี้ จริงๆแล้วทางนายเซียะ ไม่ได้ต้องการที่จะดำเนินคดีกับใครก็ตาม ที่ไม่ปฏิบัติตารมคำสั่งศาล เว้นแต่มีความจำเป็นก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และในฐานะทนายความ ก็อยากขอความร่วมมือให้บุคคลที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล หากบลูแคนยอนพร็อพเพอร์ที่ ฝ่าฟืนแผนฟื้นฟูหรือกระทำความผิดใด นายเรวัต ซึ่งเป็นถือหุ้นจำนวนน้อยก็สามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้ ซึ่งการนายเรวัตดำเนินการเมื่อวันที่ 21ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้พนักงาน ชาวต่างชาติที่มาใช้บริการสนามกอล์ฟเกิดความไม่สบายใจรวมไปถึงเรื่องของการลงทุน จึงอยากให้คิดถึงส่วนรวมให้มากขึ้น
ด้านนายเซียะ เลง เยิน กรรมการผู้มีอำนาจบริษัทบลูแคนยอน พร็อพเพอร์ที่ กล่าวว่า เหตุผลที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพราะหวังว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในประเทศไทย และมั่นใจว่าว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วศาลจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผลออกมาเป็นอย่างไร และศาลก็จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ใครเป็นผู้ที่เข้ามาลงทุนที่นี้ตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว การเข้ามาลงทุนต้องผ่านวิกฤติต่างมากมาย ไม่ว่าช่วงของการระบาดของโรคซาร์ส เหตุการณ์สึนามิถล่ม มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ผ่าน แต่ไม่เคยหนีพร้อมที่จะสู้ตลอด ส่วนการลงทุนร่วมกับไดส์แบงค์นั้นคิดว่าไม่มีปัญหาทางผู้ลงทุนร่วมก็ยังมีความยินดีที่จะทำงานกันอยู่
ขณะที่ทีมทนายความของบริษัทมิวเร็กซ์ จำกัดกล่าวว่าเมื่อมีคำสั่งศาลล้มละลายมา ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม แต่คำสั่งดังกล่าวได้สั่งห้ามไม่ให้ทางบริษัทมิวเร็กซ์บอกยกเลิกสัญญาจ้าง ที่มีกับบริษัทบลูแคนยอนฯ ซึ่งก็จะปฏิบัติตาม แต่ในคำสั่งดังกล่าวไม่ได้ห้ามไม่ให้บริษัทมิวเร็กซ์เข้ามาบริหารจัดการ ในกรณีที่บริษัทบลูแคนย่อนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาจ้างจัดการข้อ 3 ซึ่งบริษัทมิวเร็กซ์ มีสิทธิเข้ามาบริหารแทนได้ในทันที ส่วนเรื่องของการเปิดนิรภัยนั้นขณะนี้ยังไม่เห็นหมายศาลมีเพียงคำสั่งศาลเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องดูกันตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง