xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐกิจพอเพียง 5 : บทเรียนจากสนามแบดมินตัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผมยังสังเกตว่า หลายคนยังมีความสับสนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ผมยังอยากชวนผู้สนใจเปิดเว็บไซต์ http://www.sufficiencyeconomy.org/detail.swf เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ผมชอบความหมายโดยสรุปของ เศรษฐกิจพอเพียงว่า ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน

เมื่อวันก่อน ผมได้ไปตีแบดมินตันที่สนามใกล้บ้าน ผมเห็นครอบครัวหนึ่งนั่งรถตุ๊กๆมาตีแบดฯ กัน 4 คน พ่อ แม่ ลูกโต และลูกเล็ก อย่างมีความสุข ทำให้เกิดแรงบันดาลใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หลายประเด็น ดังนี้

1.ด้วยความรู้สึกที่พอเพียง ครอบครัวก็มีความสุข : ผมเห็นครอบครัวเล่นแบดฯกันเฮฮามีความสุข ในความจริง ครอบครัวนี้นั่งรถตุ๊กๆมา ผมคิดว่า แม้ครอบครัวนี้จะนั่งรถเบนซ์ หรือรถหรูหราอื่นๆมา ก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสุขในการตีแบดฯกันในครอบครัวอย่างที่ผมเห็นจริงๆ สรุปว่า เมื่อเราเพียงพอกับสิ่งที่เรามี ไม่ว่าจะมีสมบัติมากหรือน้อย ก็ไม่เกี่ยวข้องกับความสุข ความคิดพอเพียง มองโลกอย่างเป็นสุขต่างหากที่ทำให้เป็นสุขอย่างแท้จริงในทุกสถานการณ์

2.เมื่อใจพอเพียง ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข : เมื่อสมาชิกในครอบครัวรักกัน มีจิตใจที่พอเพียง ไม่ได้ยึดทรัพย์สมบัติเป็นสำคัญ ครอบครัวก็มีความสุขเสมอ ความรักกันในครอบครัว ทำให้กันและกันมีความสุขแท้ พ่อเก่งมากเล่นคู่กับลูกเล็ก แม่คู่กับลูกโต พ่อแม่ส่งให้ลูกๆ ท้าทายเล็กน้อย ไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไป พ่อแม่พูดจากับลูกๆอย่างมีชีวิตชีวา เล่นด้วยอย่างสนุกสนาน ลูกโตลูกเล็กวิ่งเต็มที่ ตีได้ดีเกินความคาดหมาย พ่อแม่คอยให้กำลังใจลูกๆ ทุกคนสนุกสนานเฮฮา พิสูจน์ชัดว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข” อย่างแท้จริง

3.สุขกับความพอเพียง สุขกับความก้าวหน้า โดยไม่โลภ : ด้วยชีวิตที่มีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็ไม่ได้แปลว่า ครอบครัวนี้อยากที่จะหยุดความก้าวหน้า พ่อแม่ก็พยายามสอนให้ลูกเก่งขึ้น ตีแบดฯได้ดีขึ้น วิ่งเร็วขึ้น ให้กำลังใจเสมอ ซึ่งผมถือว่า สมเหตุสมผลตามธรรมชาติมนุษย์ที่ถูกสร้างมาให้มีพรสวรรค์จากพระเจ้าอันยิ่งใหญ่ คือการเรียนรู้ ทำให้เมื่อเรานึกถึงเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมีเหตุผล เราจะไม่สับสนเลยว่า เศรษฐกิจพอเพียงก็ยินดีกับความเจริญก้าวหน้า เพียงแต่อย่าปล่อยให้ใจเป็นทาสกับความหวังในสิ่งที่เกินตัว จนเกิดความทุกข์ ดังที่ผมสังเกตว่า พ่อแม่จะไม่หวังให้ลูกก้าวกระโดดเกินตัว ไม่มีใครอารมณ์เสียเพราะหวังจะได้อะไร หรือหวังจะบรรลุอะไรที่เกินสมควร

4.ในชีวิตที่พอเพียง ก็ไม่ได้แปลว่าไม่พึ่งพาคนอื่น : ในโลกแห่งการพึ่งพากัน เราก็พึ่งพาคนอื่นได้ด้วย ขอเพียงเราไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นจนถึงขั้นพึ่งตนเองไม่ได้ โดยเหตุโดยผล สิ่งใดที่พึ่งคนอื่นดีกว่าทำเอง ก็พึ่งคนอื่นได้ เพราะเราเองก็จะได้ไปทำอย่างอื่นที่มีคุณค่าดีกว่า คุ้มค่ากว่า ในความคิดแบบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็สมเหตุผลที่เขาจะ “ซื้อ” ไม้แบดฯ ลูกแบดฯ แทนที่จะทำเอง คุ้มกว่ามากที่เขาจะทำงานในสิ่งที่เขาถนัดกว่าทำลูกแบดฯลูกละไม่กี่สิบบาท แล้วใช้รายได้มาซื้อลูกแบดฯดีกว่า ถ้าจะทำไม้แบดฯเอง ก็ไม่มีทางทำได้ดีในราคาที่ซื้อได้ เศรษฐกิจการค้า จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ขัดกับเศรษฐกิจพอเพียงเช่นกัน

5.น้ำใจนักกีฬา ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพอเพียง : ในบรรยากาศของการกีฬา ทำให้นึกถึงน้ำใจนักกีฬา คือ รู้แพ้ รู้ชนะ ชนะก็ภูมิใจ ไม่เหลิง ไม่อวดตัว ไม่ประมาท แพ้ก็ตั้งใจ พยายามเรียนรู้ และปรับปรุงตนมากขึ้น ทุกคนให้กำลังใจกัน และรักกันให้อภัยกันเสมอ แม้จะมีการแบ่งข้างแข่งขัน ทุกคนก็รู้รักสามัคคี ไม่เกิดความรู้สึกความแตกแยก

6.ในความพอเพียง ก็รวมถึง เคารพกฎกติกา หนึ่งเดียว อย่างเท่าเทียมกัน : ทุกคนไม่ว่าจะมีอำนาจมากหรือน้อย ก็ต้องเคารพกติกาเดียวกัน เคารพว่ากรรมการต้องรักษาความเป็นอิสระและความชอบธรรม ยิ่งกว่านั้น พ่อแม่ซึ่งเก่งกว่า มีอำนาจเหนือกว่า ยังเล่นด้วยความไม่เอาเปรียบลูกๆ นี่ก็สะท้อนความพอเพียงของผู้ใหญ่ที่มีความได้เปรียบแต่ไม่เอาเปรียบเด็กๆ

กล่าวโดยสรุป ขอเพียงเราไม่อยากได้อะไรเกินตัว ไม่ใช่จ่ายเกินตัว ไม่สร้างภาระหนี้สำหรับอนาคตเกินตัว มีความมุ่งก้าวหน้าอย่างไม่เกินตัว ไม่ใช่หวังเพียง เงิน-เงิน-เงิน นำหน้าชีวิตอย่างไม่สิ้นสุด มีการค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างสมเหตุสมผล เพื่อประโยชน์ต่อกันมากขึ้น ต้นทุนในชีวิตต่ำลง ก็เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงครับ

มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น