xs
xsm
sm
md
lg

ก.ล.ต.เชือดผู้แหกกฎปรับ32ล."บิ๊ก"PLEหนักสุดใช้อินไซด์เดอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ก.ล.ต. เผย 10 เดือนแรกปีนี้ สั่งปรับผู้กระทำผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ จำนวน 53 ราย คิดเป็นจำนวนเงิน 32.73 ล้านบาท "อำนวย กาญจโนภาศ"ผู้บริหารบริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง หนักสุดถูกปรับ 13.45 ล้านบาท เหตุใช้ข้อมูลภายใน ขณะที่"พานทองแท้" โดนข้อหารายงานข้อมูลการได้มาและจำหน่ายหุ้นชินคอร์ป ไม่ถูกต้องและไม่ทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เจอปรับ 5.98 ล้านบาท
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือก.ล.ต.เปิดเผยถึงข้อมูลที่คณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ได้ลงโทษปรับผู้กระทำผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ในช่วง 10 เดือนแรกนับตั้งแต่มกราคมถึงตุลาคม 2549 ปรากฏว่ามีผู้ถูกเปรียบเทียบกับจำนวน 53 รายการ เป็นรายบุคคลจำนวน9 ราย และเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 13 ราย และยังมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหรือบลจ.และบริษัทจดทะเบียนอีกด้วย

ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่านายอำนวย กาญจโนภาศ รองประธานกรรมการ บริษัทเพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน)หรือ PLE ได้ถูกปรับมากสุดจำนวน 13.46 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 และ 16 กุมภาพันธ์2548 นายอำนวย ได้ขายหุ้น PLE ซึ่งน่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความจำเป็นของ PLE ในการเพิ่มทุนจดทะเบียน ตลอดจนแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ PLE ซึ่งนายอำนวยได้ล่วงรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว

จากการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหาร PLE ที่พิจารณาปัญหาสภาพคล่องของบริษัท เนื่องจากไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้จากโครงการโบ๊เบ๊ เซ็นเตอร์ และโครงการจังซีลอน ภูเก็ต ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ PLE และยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน โดยข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญดังกล่าว ได้เปิดเผยต่อประชาชนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2548
นายพานทองแท้ ชินวัตร
สำหรับผู้ที่ถูกปรับรองลงมาได้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถูกปรับเป็นเงินจำนวน 5.98 ล้านบาท โดยนายพานทองแท้ เกี่ยวกับรายงานการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือSHIN ต่อสำนักงาน โดยแสดงข้อมูลไม่ถูกต้องครบถ้วนรวม 2 กรณี กล่าวคือ (1) รายงานการได้มาซึ่งหุ้น SHIN ฉบับลงวันที่ 4 กันยายน 2543 แสดงข้อมูลการถือหุ้นSHIN เฉพาะจำนวนที่ถืออยู่โดยตนเองที่ได้มาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 จำนวน 24.99% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด

ทั้งนี้ข้อมูลที่ถูกต้องจะต้องเท่ากับ 36.20% โดยต้องนำหุ้น SHIN จำนวน11.21% ที่ถืออยู่โดย Ample Rich Investments Ltd. หรือ ARI ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 258 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มารวมคำนวณด้วยประการที่สองรายงานการจำหน่ายหุ้น SHIN ฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2545 แสดงข้อมูลการถือหุ้น SHINเฉพาะจำนวนที่ถืออยู่โดยตนเองซึ่งคงเหลือเท่ากับ 12.49% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดหลังการจำหน่ายไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 แต่ข้อมูลที่ถูกต้องจะต้องเท่ากับ 23.70% โดยต้องนำหุ้น SHINจำนวน 11.21% ที่ถืออยู่โดย ARI มารวมคำนวณด้วย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 4 กันยายน 2543 ถึงวันที่ 22มกราคม 2549 ซึ่งจากการกระทำผิดข้างต้นถูกปรับจำนวน 3.32 ล้านบาท

นอกจากนี้นายพานทองแท้ยังได้กระทำผิดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 จำนวน 24.99% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จนเป็นผลให้เมื่อนับรวมกับหุ้น SHIN จำนวน 11.21% ที่ถืออยู่โดย Ample Rich Investments Ltd. ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 258แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว จะเท่ากับ 36.20% อันเป็นการผ่านจุด 25%ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ SHIN แต่ไม่ได้กระทำการใดๆ ตามขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 นายพานทองแท้ฯ ได้จำหน่ายหุ้น SHIN ทั้งหมดออกไปแล้ว

ส่วนที่เป็นรายบุคคลที่ถูกปรับอีกประกอบด้วยนายพรชัย ประสิทธิ์พร ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อภูมิภาค บริษัทไมด้าลิสซิ่ง จำกัด(มหาชน)หรือ ML มิได้รายงานการรับโอนและการโอนหลักทรัพย์ต่อสำนักงานในเวลาที่กำหนดถูกปรับ 114,800 บาท,นายเกรียงไกร เศรษฐไกรกุล กรรมการบริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) กระทำผิดเช่นเดียวกับนายพรชัย ถูกปรับ 169,200 บาทนายศุภสิทธิ์ โปรียานนท์ กระทำผิดระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม 2547 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2547

นายศุภสิทธิ์ได้ซื้อขายหุ้นบริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) หรือTGP ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ BPB Gypsum B.V. หรือ BPB ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ประสงค์จะทำคำเสนอซื้อเพื่อการเพิกถอนหลักทรัพย์ TGP ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ซึ่งนายศุภสิทธิ์ได้ล่วงรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เนื่องจากทำหน้าที่ในฐานะเลขานุการของประธานกรรมการ TGP และข้อเท็จจริงดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ TGP และยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน ถูกปรับ 1.28 ล้านบาท,นายวิชาญ ตติยพรสุข ซึ่งเป็นผู้ลงทุนที่ให้ความช่วยเหลือแก่นายศุภสิทธิ์ โปรียานนท์ ในการเปิดบัญชีเพื่อซื้อหลักทรัพย์บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มถูกปรับ 851,800 บาท

นอกจากนี้ก็มีนางวิไล แซ่โง้วที่กระทำผิดระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2547 ถึงวันที่ 18 มกราคม 2548 นางวิไลได้ซื้อขายหุ้นบริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือTFD และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ หรือTFD-W1 ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ (1) TFD จะมีรายได้จากการขายสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นมากในไตรมาส 4 ปี 2547 ซึ่งส่งผลให้ผลการดำเนินงานประจำปี 2547 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2546 (2) TFD จะมีรายได้เป็นจำนวนมาก (ประมาณ 500 ล้านบาท) ในปี 2548

จากการขายโรงงานอุตสาหกรรม จำนวน 12 แห่ง ให้แก่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล ซึ่งนางวิไลได้ล่วงรู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เนื่องจากทำหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายพัฒนาธุรกิจ และรักษาการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ TFD และข้อเท็จจริงดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ TFD และยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน ถูกปรับ 4.87 ล้านบาท

นายรังสี ทีปกรสุขเกษมกระทำผิดระหว่างวันที่ 7 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 ได้ซื้อขายหลักทรัพย์บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน)หรือ CCP โดยใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองและของบุคคลอื่น จำนวน 7 ราย โดยมีพฤติกรรมการซื้อขายในลักษณะสร้างปริมาณการซื้อขายและเปลี่ยนราคาให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับราคาหลักทรัพย์ CCP ไม่ให้ลดต่ำลง และเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าหลักทรัพย์ CCP เป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง

นอกจากนี้ บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ดังกล่าวยังมีการซื้อขายในลักษณะจับคู่กันเอง อันเป็นการอำพรางเพื่อให้บุคคลทั่วไปหลงผิดไปว่าช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหลักทรัพย์นั้นได้มีการซื้อหรือขายกันมาก หรือราคาของหลักทรัพย์นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอันไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด ถูกปรับเป็นเงิน 5 แสนบาท ขณะที่นายจักรชัยฉันทโรจน์ กระทำผิดโดยการช่วยเหลือนายรังสี ถูกปรับ 333,333 บาท

สำหรับบริษัทหลักทรัพย์มีการกระทำผิดหลายราย ซึ่งรายที่ถูกปรับหนักสุดได้แก่ บล.เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน)ซึ่งกระทำผิดได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด โดยระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2548 บริษัทมิได้บันทึกการรับคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์และการเจรจาตกลงเกี่ยวกับการลงทุนในหลักทรัพย์ของลูกค้าทางโทรศัพท์หรือทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้ครบถ้วนจึงถูกปรับ 726,562 ล้านบาท นอกจากนี้ก็มีบล.ที่ถูกปรับเงินรายอื่นๆ ประกอบด้วย บล.ภัทร,บล.โกลเบล็ก,บล.ยูไนเต็ด,บล.นครหลวงไทย,บล.ทิสโก้,บล.ทีเอสอีซี,บล.เคจีไอ(ประเทศไทย),บล.ไซรัส,บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย),บล.ซิกโก้,บล.บัวหลวงและบล.บัวหลวง

ส่วนบลจ.ที่กระทำผิดนั้นจะประกอบด้วยบลจ. อยุธยาเจเอฟ,บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย),บลจ. วรรณ,บลจ. บีโอเอ และบลจ.เอ็มเอฟซี ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่กระทำผิดและถูกปรับประกอบด้วย บริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน),บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน),บริษัท ดาต้าแมท จำกัด (มหาชน)ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน),ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ,บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทจำกัด (มหาชน),บริษัท อาปิโก้ ไฮเทค จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมจำกัด (มหาชน)
กำลังโหลดความคิดเห็น