รัตนรักษ์ ยังถือหุ้นใหญ่สุดในแบงก์ 27.5% มั่นใจหลังจีดี เข้าถือหุ้น บีไอเอสสูงสุดในระบบ 22% ดันแบงก์ฐานะแกร่ง ยันใช้ชื่อและโลโก้กรุงศรีอยุธยาเหมือนเดิม
วานนี้(20 ก.ย)ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2549 โดยมีวาระการประชุม เพื่อขอมติขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ กลุ่มจีอี จำนวน 1,391 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 16 บาท โดยมีนายกฤตย์ รัตนรักษ์ เป็นประธานในที่ประชุม
นายกฤตย์ กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดโอกาสให้กับพันธมิตรอย่าง จีอี เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในจำนวน 1,391 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 16 บาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินจำนวน 22,256 ล้านบาท ส่งผลให้จีอีจะมีสัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารจำนวน 29.4%
หลังจากนั้น เมื่อใบสำคัญแสดงสิทธิ์(วอแรนท์) ครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 1,617 ล้านหน่วย ในปี 2551 หากมีการใช้สิทธิครบจำนวน ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของจีอี เหลือ 25.4% ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นของจีอีทำให้ธนาคารมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินสามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆได้ เพราะจีอี ถือว่าเป็นกลุ่มยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ที่ทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ในขณะธนาคารมีสาขาจำนวน 525 สาขา ที่สนับสนุนการทำธุรกิจของทั้ง 2 แห่งได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติประมาณ 32% ซึ่งตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ดังนั้นเมื่อรวมกับจีอีแล้ว ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธนาคารประมาณ 49% ชนเพดานพอดี ดังนั้นหากจีอีจะเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนเพิ่มเติม จะต้องมีการขอเพิ่มเติมจากธปท.อีกครั้งหนึ่ง หรือต่างชาติรายอื่นจะต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นออกมาก่อน
อย่างไรก็ตามสัดส่วนของตระกูลรัตนรักษ์หลังจากเพิ่มทุนแล้ว ประมาณ 27.5% นับว่าเป็นสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ที่สุดสำหรับการร่วมทุนดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่สุดในระบบ ประมาณ 20% เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 14-15% จากปัจจุบัน 7%
วานนี้(20 ก.ย)ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2549 โดยมีวาระการประชุม เพื่อขอมติขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับ กลุ่มจีอี จำนวน 1,391 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 16 บาท โดยมีนายกฤตย์ รัตนรักษ์ เป็นประธานในที่ประชุม
นายกฤตย์ กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดโอกาสให้กับพันธมิตรอย่าง จีอี เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในจำนวน 1,391 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 16 บาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินจำนวน 22,256 ล้านบาท ส่งผลให้จีอีจะมีสัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารจำนวน 29.4%
หลังจากนั้น เมื่อใบสำคัญแสดงสิทธิ์(วอแรนท์) ครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 1,617 ล้านหน่วย ในปี 2551 หากมีการใช้สิทธิครบจำนวน ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของจีอี เหลือ 25.4% ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นของจีอีทำให้ธนาคารมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินสามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆได้ เพราะจีอี ถือว่าเป็นกลุ่มยักษ์ใหญ่ในอเมริกา ที่ทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ในขณะธนาคารมีสาขาจำนวน 525 สาขา ที่สนับสนุนการทำธุรกิจของทั้ง 2 แห่งได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันธนาคารมีสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติประมาณ 32% ซึ่งตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ดังนั้นเมื่อรวมกับจีอีแล้ว ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติในธนาคารประมาณ 49% ชนเพดานพอดี ดังนั้นหากจีอีจะเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนเพิ่มเติม จะต้องมีการขอเพิ่มเติมจากธปท.อีกครั้งหนึ่ง หรือต่างชาติรายอื่นจะต้องลดสัดส่วนการถือหุ้นออกมาก่อน
อย่างไรก็ตามสัดส่วนของตระกูลรัตนรักษ์หลังจากเพิ่มทุนแล้ว ประมาณ 27.5% นับว่าเป็นสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ที่สุดสำหรับการร่วมทุนดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่สุดในระบบ ประมาณ 20% เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 14-15% จากปัจจุบัน 7%