ผู้ค้าตลาดสดหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง กว่า 100 ราย ร้องการเคหะฯขอแพงค้าบนลานอเนกประสงค์คืน หลังการเคหะฯ ให้เอกชนดำเนินการ ด้านการเคหะฯ พึ่งศาลยุติธรรมตัดสินปัญหา
วานนี้ (12 ก.ย.49) กลุ่มผู้ค้าในตลาดสดหมู่บ้านนักกีฬา แหลมทอง กว่า 100 คน นำโดยนางอารีรัตน์ จุลทิพย์ ประธานกลุ่มออมทรัพย์ตลาดหมู่บ้านนักกีฬา แหลมทอง ได้เรียกร้องขอพบผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.)เพื่อยื่นหนังสือทวงถามและขอความเป็นธรรมถึงปัญหาการย้ายตลาดไปอยู่ในตลาดใหม่ซึ่งการเคหะฯได้ให้สัมปทานแก่บริษัท บริษัท ไวส์คิท คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ แต่เนื่องจากผู้ค้าไม่ยอมย้ายไปที่ตลาดที่สร้างขึ้นใหม่เพราะตลาดไม่เป็นที่นิยม และคิดค่าเช่าแพง ทำให้ผู้ค้าต้องการขายของที่เดิม จนเกิดปัญหาการใช้ชายฉกรรจ์จำนวนมาก บุกทำลายแผงลอยขายของในตลาดจนเกิดความเสียหายเมื่อเดือนสิงหาคม 2547 และเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 และวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 เครือข่ายผู้เสียหายจากการเคหะแห่งชาติและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เข้าพบประธานกรรมการและคณะกรรมการบอร์ด กคช.และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวัฒนา เมืองสุข เพื่อปรึกษาหารือและร่วมกันแก้ไขปัญหา จากการประชุมร่วม
นางอารีรัตน์ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนั้นการเคหะฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรีบดำเนินการขอพื้นที่คืนจากเอกชนและดำเนินการทำโครงสร้างตลาดใหม่ให้แล้วเสร็จภายโดยเร็ว โดยให้ทั้งผู้ค้าเก่าและผู้ค้าใหม่รวมกันเข้าไปขายได้ ในเบื้องต้น กคช. จะดำเนินการบริหารจัดการเองก่อน โดยคิดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าทำความสะอาด แต่ในความเป็นจริงการเคหะฯ ได้ฟ้องร้องขับไล่ต่อศาลและเรียกร้องค่าเสียหายเพื่อให้ผู้ค้าออกจากพื้นที่ เนื่องจากให้สัมปทานพื้นที่ บริษัทไวส์คิทฯไปแล้ว โดยศาลนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 22 กันยายนนี้
"ที่ผ่านมาแผงค้าใหม่ที่ไวส์คิทฯ สร้างขึ้นมีคนบางกลุ่มไปเซ๊งรายละ 10-20 แผง แล้วมาปล่อยเช่าหรือเซ็งต่อราคา1-2.5 แสน ทำให้ผู้ค้าไม่มีกำลังเงินมากพอจะเซ็งแผง " ผู้ค้ากล่าว
สำหรับสัญญาที่บริษัท ไวส์คิทฯ ได้ทำกับการเคหะฯ นั้นมีระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นเพียงค่าเช่าที่ดิน โดย3 ปีแรกต้องจ่ายค่าเช่าปีละ 90,000 บาทต่อเดือน อีก3 ปีต่อมา ต้องจ่ายเดือนละ 167,000 บาทต่อเดือน โดยค่าเช่าใน6 ปีแรก บริษัทไวส์คิด ยังไม่ได้จ่ายให้แก้ กคช. แต่อย่างใด ขณะนี้ กคช. อยู่ระหว่างฟ้องเรียกเงินส่วนนี้คืน ส่วนทุนสร้างอาคารเป็นของไวส์คิท ทั้งหมด 200 แผง โดยหากผู้ค้าจะเข้ามาเช่าแผงต้องจ่ายค่าเงินดาวน์ ค่าจองสิทธิ์ ค่าเช่ารายเดือน คิดเป็นเงินหลายหมื่นบาทและหากไม่มีจ่ายเป็นเงินก้อนสามารถผ่อนรายวันได้ ขนาดพื้นที่แพงค้า 2x2 เมตร ในขณะที่เดิมการเคหะฯ เก็บเฉพาะค่าเช่ารายเดือน 375 บาท/แพง/เดือน รวมค่าภาษีโรงเรือนตกประมาณ 400 บาท/แพง/เดือน
"อยากเรียกร้องให้การเคหะฯเข้าแก้ปัญหา โดยให้ผู้ค้าเข้าไปอยู่ในพื้นที่เดิม และให้การเคหะฯเป็นผู้ดำเนินการแทนเอกชน โดยจัดตั้งเป็นตลาดชุมชนที่ดำเนินการโดยมีผู้ร่วมกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์และคิดค่าเช่าในราคาที่เป็นธรรมกับผู้ค้า"นางอารีรัตน์กล่าว
ด้านนายพิทยา เจริญวรรณ รองผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาตลาดหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทองเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน ซึ่งส่วนหนึ่งยอมรับว่าส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการลงทุนสร้างตลาดใหม่ในพื้นที่เดิม เนื่องจากในช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งการเคหะฯจำเป็นต้องหารายได้จากการเอาพื้นที่มาเปิดให้เอกชนลงทุน โดยให้ผู้ค้าย้ายไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำการค้าอยู่ในปัจจุบัน เมื่อตลาดใหม่สร้างเสร็จ ผู้ค้าไม่ยินยอมย้ายกลับมาเนื่องจากตลาดที่ย้ายไปใหม่มีทำเลที่ดีกว่าในขณะที่ตลาดที่ก่อสร้างโดยเอกชนมีราคาค่าเช่าสูงกว่าเดิมจึงเกิดปัญหามาโดยตลอด เพราะพื้นที่ที่ให้ย้ายไปอยู่ชั่วคราวเป็นลานอเนกประสงค์ที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันของชุมชน
"การเคหะฯจึงต้องพึ่งกระบวนการทางศาล เพื่อให้ผู้ค้าย้ายออก แต่ในขณะเดียวกัน ได้เจรจากับเอกชนที่ลงทุนเพื่อลดราคาค่าเช่าลงให้ผู้ค้ากลับเข้ามาค้าขายในตลาดที่สร้างใหม่ลง แต่ผู้ค้าก็ยังไม่ต้องการย้ายกลับมามาตลาดที่สร้างใหม่โดยเอกชน เพราะตลาดได้รับความนิยมอยู่ฝั่งเดียวกับที่จะเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน ทำให้ปัญหาไม่สามารรถยุติได้"
ส่วนกรณีที่ผู้ค้ายื่นเงื่อนไขว่าจะกลับไปอยู่ที่เดิม โดยให้พัฒนาเป็นตลาดชุมชนโดยชาวบ้านมีส่วนร่วมในการดำเนินการในรูปแบบของสหกรณ์นั้น แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่การเคหะได้นำมาใช้กับหลายๆ ชุมชนในระยะหลัง แต่สำหรับตลาดของหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทองยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะได้ให้เอกชนสัมปทานพื้นที่ไปแล้ว นอกจากการเคหะฯจะซื้อสัมปทานคืนทั้งหมด
วานนี้ (12 ก.ย.49) กลุ่มผู้ค้าในตลาดสดหมู่บ้านนักกีฬา แหลมทอง กว่า 100 คน นำโดยนางอารีรัตน์ จุลทิพย์ ประธานกลุ่มออมทรัพย์ตลาดหมู่บ้านนักกีฬา แหลมทอง ได้เรียกร้องขอพบผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.)เพื่อยื่นหนังสือทวงถามและขอความเป็นธรรมถึงปัญหาการย้ายตลาดไปอยู่ในตลาดใหม่ซึ่งการเคหะฯได้ให้สัมปทานแก่บริษัท บริษัท ไวส์คิท คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ แต่เนื่องจากผู้ค้าไม่ยอมย้ายไปที่ตลาดที่สร้างขึ้นใหม่เพราะตลาดไม่เป็นที่นิยม และคิดค่าเช่าแพง ทำให้ผู้ค้าต้องการขายของที่เดิม จนเกิดปัญหาการใช้ชายฉกรรจ์จำนวนมาก บุกทำลายแผงลอยขายของในตลาดจนเกิดความเสียหายเมื่อเดือนสิงหาคม 2547 และเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 และวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 เครือข่ายผู้เสียหายจากการเคหะแห่งชาติและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เข้าพบประธานกรรมการและคณะกรรมการบอร์ด กคช.และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายวัฒนา เมืองสุข เพื่อปรึกษาหารือและร่วมกันแก้ไขปัญหา จากการประชุมร่วม
นางอารีรัตน์ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งนั้นการเคหะฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรีบดำเนินการขอพื้นที่คืนจากเอกชนและดำเนินการทำโครงสร้างตลาดใหม่ให้แล้วเสร็จภายโดยเร็ว โดยให้ทั้งผู้ค้าเก่าและผู้ค้าใหม่รวมกันเข้าไปขายได้ ในเบื้องต้น กคช. จะดำเนินการบริหารจัดการเองก่อน โดยคิดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าทำความสะอาด แต่ในความเป็นจริงการเคหะฯ ได้ฟ้องร้องขับไล่ต่อศาลและเรียกร้องค่าเสียหายเพื่อให้ผู้ค้าออกจากพื้นที่ เนื่องจากให้สัมปทานพื้นที่ บริษัทไวส์คิทฯไปแล้ว โดยศาลนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 22 กันยายนนี้
"ที่ผ่านมาแผงค้าใหม่ที่ไวส์คิทฯ สร้างขึ้นมีคนบางกลุ่มไปเซ๊งรายละ 10-20 แผง แล้วมาปล่อยเช่าหรือเซ็งต่อราคา1-2.5 แสน ทำให้ผู้ค้าไม่มีกำลังเงินมากพอจะเซ็งแผง " ผู้ค้ากล่าว
สำหรับสัญญาที่บริษัท ไวส์คิทฯ ได้ทำกับการเคหะฯ นั้นมีระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นเพียงค่าเช่าที่ดิน โดย3 ปีแรกต้องจ่ายค่าเช่าปีละ 90,000 บาทต่อเดือน อีก3 ปีต่อมา ต้องจ่ายเดือนละ 167,000 บาทต่อเดือน โดยค่าเช่าใน6 ปีแรก บริษัทไวส์คิด ยังไม่ได้จ่ายให้แก้ กคช. แต่อย่างใด ขณะนี้ กคช. อยู่ระหว่างฟ้องเรียกเงินส่วนนี้คืน ส่วนทุนสร้างอาคารเป็นของไวส์คิท ทั้งหมด 200 แผง โดยหากผู้ค้าจะเข้ามาเช่าแผงต้องจ่ายค่าเงินดาวน์ ค่าจองสิทธิ์ ค่าเช่ารายเดือน คิดเป็นเงินหลายหมื่นบาทและหากไม่มีจ่ายเป็นเงินก้อนสามารถผ่อนรายวันได้ ขนาดพื้นที่แพงค้า 2x2 เมตร ในขณะที่เดิมการเคหะฯ เก็บเฉพาะค่าเช่ารายเดือน 375 บาท/แพง/เดือน รวมค่าภาษีโรงเรือนตกประมาณ 400 บาท/แพง/เดือน
"อยากเรียกร้องให้การเคหะฯเข้าแก้ปัญหา โดยให้ผู้ค้าเข้าไปอยู่ในพื้นที่เดิม และให้การเคหะฯเป็นผู้ดำเนินการแทนเอกชน โดยจัดตั้งเป็นตลาดชุมชนที่ดำเนินการโดยมีผู้ร่วมกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์และคิดค่าเช่าในราคาที่เป็นธรรมกับผู้ค้า"นางอารีรัตน์กล่าว
ด้านนายพิทยา เจริญวรรณ รองผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาตลาดหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทองเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน ซึ่งส่วนหนึ่งยอมรับว่าส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดพลาดในการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการลงทุนสร้างตลาดใหม่ในพื้นที่เดิม เนื่องจากในช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤติเศรษฐกิจซึ่งการเคหะฯจำเป็นต้องหารายได้จากการเอาพื้นที่มาเปิดให้เอกชนลงทุน โดยให้ผู้ค้าย้ายไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำการค้าอยู่ในปัจจุบัน เมื่อตลาดใหม่สร้างเสร็จ ผู้ค้าไม่ยินยอมย้ายกลับมาเนื่องจากตลาดที่ย้ายไปใหม่มีทำเลที่ดีกว่าในขณะที่ตลาดที่ก่อสร้างโดยเอกชนมีราคาค่าเช่าสูงกว่าเดิมจึงเกิดปัญหามาโดยตลอด เพราะพื้นที่ที่ให้ย้ายไปอยู่ชั่วคราวเป็นลานอเนกประสงค์ที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันของชุมชน
"การเคหะฯจึงต้องพึ่งกระบวนการทางศาล เพื่อให้ผู้ค้าย้ายออก แต่ในขณะเดียวกัน ได้เจรจากับเอกชนที่ลงทุนเพื่อลดราคาค่าเช่าลงให้ผู้ค้ากลับเข้ามาค้าขายในตลาดที่สร้างใหม่ลง แต่ผู้ค้าก็ยังไม่ต้องการย้ายกลับมามาตลาดที่สร้างใหม่โดยเอกชน เพราะตลาดได้รับความนิยมอยู่ฝั่งเดียวกับที่จะเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน ทำให้ปัญหาไม่สามารรถยุติได้"
ส่วนกรณีที่ผู้ค้ายื่นเงื่อนไขว่าจะกลับไปอยู่ที่เดิม โดยให้พัฒนาเป็นตลาดชุมชนโดยชาวบ้านมีส่วนร่วมในการดำเนินการในรูปแบบของสหกรณ์นั้น แนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่การเคหะได้นำมาใช้กับหลายๆ ชุมชนในระยะหลัง แต่สำหรับตลาดของหมู่บ้านนักกีฬาแหลมทองยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะได้ให้เอกชนสัมปทานพื้นที่ไปแล้ว นอกจากการเคหะฯจะซื้อสัมปทานคืนทั้งหมด