xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อใช้ “ประชาธิปไตย” อย่างเป็น “ประชาธิปไตย” เศรษฐกิจไทยจึงเจริญรุ่งเรือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในช่วงที่ผ่านมานี้ ผมแปลกใจที่บรรดาผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ประธานองคมนตรี และองคมนตรีหลายท่าน ราษฎรอาวุโส ผู้แทนประชาชนที่รณรงค์เพื่อการพัฒนาประชาธิปไตย ต่างได้ออกมาส่งสัญญาณให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนให้ทำงานราชการเพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อผู้ครองอำนาจ

ขณะที่ฝ่ายรัฐบาล เรียกร้องอยู่อย่างเดียวว่า “เมื่อมีความคิดต่างกัน ในระบอบประชาธิปไตย ก็ไปแสดงออกด้วยการเลือกตั้ง” ราวกับว่า การใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง คือ เรื่องเดียวที่มีของประชาธิปไตย !!

ผมได้พยายามทบทวนว่า เราเป็นประชาธิปไตยแล้วจริงเพียงไร ภายใต้ระบอบปัจจุบันที่ถูกเรียกกันว่า “ระบอบทักษิณ” และขอน้อมเรียนเสนอว่า มีประเด็นที่ควรปรับปรุง “ก่อน” จะสรุปว่า ถึงเวลาที่ “การเลือกตั้ง” จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตัดสินอนาคตของชาติในขณะนี้ ดังนี้

1.ผู้นำยังไม่ยอมตอบปัญหาข้อสงสัยของประชาชน ประชาชนมีคำถามมากมาย มีการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ ? มีการลดส่วนแบ่งสัมปทานของธุรกิจครอบครัวให้รัฐหรือไม่ ? มีการเอื้อต่อธุรกิจของครอบครัว โดยลดประโยชน์ของภาครัฐหรือไม่ ? มีการให้บีโอไอยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจของลูก ทั้งที่แทบไม่มีการจ้างงานคนไทยหรือการซื้อสินค้าไทยหรือไม่ ? มีปัญหาการซุกหุ้นภาค 2 แอมเพิลริช และภาค 3 วินมาร์ค หรือไม่ ?

สภาผู้แทนฯได้ยื่นกระทู้ถาม ท่านก็ไม่ได้ใช้เวทีของผู้แทนราษฎรตอบปัญหาของประชาชน กลับยุบสภาหนีการตอบปัญหา

พันธมิตรฯได้ตั้งคำถาม กลับถูกกล่าวหาว่าหวังประโยชน์ ไม่ยอมถกกับผู้รู้ทันอย่างเปิดเผย โปร่งใส กลับต้องคุยกันในห้องปิด เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า เป็นเรื่อง “ผลประโยชน์” ซึ่งย่อมเจรจากันได้ !!

การปกปิดไม่ตอบคำถามตลอดมา ทำให้คุณค่าของความโปร่งใสของการเมืองไทยต้องตกต่ำ ไม่น่าเชื่อถือ และ การเลือกตั้ง ยังเป็นผลของการไม่ได้รับข้อมูลครบด้าน จนหากยังเป็นเช่นนั้น ผลการเลือกตั้งก็ยังอาจไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี

2.ความเที่ยงธรรม และความเป็นธรรมของการสื่อสาร ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังติดตามข้อมูลข่าวสารได้จากสื่อของรัฐบาล ผ่านโทรทัศน์ หรือวิทยุ ซึ่งดูจะมีการบิดเบือน ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเข้าใจ “ผู้รู้ทัน” ผิด เช่น

พันธมิตรฯ ถูกกล่าวหาว่าหาประโยชน์ ทั้งที่หลายๆ คน อย่างน้อย เช่น คุณพิภพ คุณสุริยะใส คุณสุวิทย์ ฯลฯ ก็มีประวัติเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อประชาชนส่วนรวมมายาวนาน

ท่านประธานองคมนตรีเตือนประชาชน ให้เคารพคนที่สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน อย่าให้ความเคารพต่อคนรวยที่โกงแผ่นดิน แต่ประโยคชัดเจน เป็นหลักการที่ถูกต้อง ไม่กระทบใคร เว้นแต่ “คนรวยที่โกงแผ่นดิน” กลับไม่ได้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อของรัฐอย่างชัดเจน

ท่านอดีตนายกฯ อานันท์ออกมาเรียกร้อง ให้คน “เลือกข้าง” ความถูกต้อง กลับถูกคนในพรรครัฐบาลกล่าวให้ร้ายท่าน และสื่อของรัฐก็เน้นการตอบโต้ของพรรครัฐบาลมากกว่าการสื่อ “สาร” จากท่านอดีตนายกฯ

ในขณะที่คนไทยจำนวนไม่น้อยชื่นชมว่า รัฐบาลอานันท์ 1 และ 2 เข้ามากู้วิกฤต ในยามอึมครึมให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่คนในพรรคท่านกลับเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่ชื่นชมและสนับสนุนผู้ขอสัมปทานผูกขาดจาก รสช. ให้ครอบครองอำนาจรัฐ !!

กรณีภาพนายตำรวจพูดคุยกับคนที่ล็อคตัวผู้ประท้วงอย่างแรงแล้วรีบใส่แว่นดำหลบหน้า ทั้งที่ผู้ถูกล็อคตัว อายุมากไม่มีทางต่อสู้ ก็มีการกลบเกลื่อนจนเรื่องก็เงียบหายไป

กรณีคาร์บอมบ์ “จริง” หรือ “จัดฉาก” ยังไม่ชัด แต่ถูกสื่อโดยสื่อของรัฐให้รู้สึกว่า มีภาพอำนาจมืดคุกคามนายกฯ และมีภาพขบวนชาวบ้านที่อ้างว่าเป็นตัวแทนรากหญ้าไปขอชีวิตนายกฯคนจนกับประธานองคมนตรี ซึ่งแปลก เพราะชาวบ้านทั่วไป น่าจะนึกถึง สนง.ตำรวจแห่งชาติแทนที่จะเป็นท่าน หากเป็นเรื่องการรักษาความปลอดภัย !

ผมเชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ยังเป็นระบอบที่ดีที่สุด ต่อเมื่อ ทุกคนเคารพกติกาจริงๆ และจะได้ผลเมื่อ “ผู้นำตอบคำถามคาใจประชาชนอย่างโปร่งใส” ไม่บังคับว่าต้องขอพูดคนเดียว และ ทำให้เกิด “เสรีภาพมวลชน” อย่างแท้จริง สื่อข้อมูลอย่างเป็นธรรมให้ครบด้าน ก่อนจะขอให้ “การเลือกตั้ง” ตัดสินทุกสิ่งครับ

มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com) ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย
กำลังโหลดความคิดเห็น