xs
xsm
sm
md
lg

ช่วยกัน “ฟอกผู้นำ” ด้วยการไม่ร่วมปกป้องการ “ฟอกเงิน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายมนตรี ศรไพศาล
ผมได้ติดตามเรื่องการโอนหุ้นของรักษาการนายกฯ ไปที่บริษัทวินมาร์ค เกาะฟอกเงิน จากข่าวตั้งแต่ปี 2543 หลายๆเรื่องที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล ได้ทยอยถูกเปิดเผยจนเห็นข้อมูลที่น่าสงสัยชัดเจนต้นปีนี้ เห็นบทบาททางสำนักงาน กลต. ได้ซักถามเพื่อพิทักษ์ความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย แต่คำตอบที่ได้ เหมือนไม่ได้ตอบด้วยหลักฐานที่พิสูจน์ได้จริง

ทุกฝ่ายสนับสนุนความถูกต้อง
ผมเห็นใจองค์กรราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายที่เคยอึดอัด ดูเหมือนต้องทำงานสนองต่ออำนาจ จนหนังสือพิมพ์ต้องพาดหัวว่า “กลต. หมดปัญญาเอาผิด ‘วินมาร์ค’ ” ผมอยากให้ระลึกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนให้ ทุกคนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา โดยเท่าเทียมเสมอกัน และให้ทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล

ท่านประธานองคมนตรีให้ข้าราชการตระหนักว่าเป็นดังม้าของชาติและพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใช่ให้รัฐบาลซึ่งมาแล้วก็ไปยึดเป็นของตน

รักษาการนายกฯรัฐมนตรี ได้ยืนยันว่า “ถ้าอยากเอาใจผม ทำตรงไปตรงมา” ผมเชื่อว่า เพื่อความเป็นธรรมต่อรักษาการนายกฯ หน่วยของของรัฐควรดำเนินเรื่องอย่างตรงไปตรงมา อยากให้ท่านมีโอกาสชี้แจงตามกระบวนการ เพื่อช่วยกัน “ฟอกผู้นำ” มิเช่นนั้นจะถูกมองว่าช่วยปกป้องการ “ฟอกเงิน” ได้

หากมีความผิดจริง มีผลอย่างไร
การนำเสนอข้อมูลต่อไปนี้ ผมไม่อยากสรุปว่า “ท่านผิด” แต่ขอยกประเด็นน่าสงสัยที่ท่านและน้องสาวยังไม่ได้ตอบ ให้ตอบทุกประเด็นสงสัย เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องหุ้นของครอบครัว คนนอกไม่น่าไปยุ่ง แต่หากพิสูจน์ได้ว่า เป็นกองทุนที่ไม่น่าจะเป็นกองทุนทั่วไป พิสูจน์ผู้เป็นเจ้าของไม่ได้ แต่มีพฤติกรรมดังกองทุนของครอบครัว เท่ากับเป็นการ “ซุกหุ้น” ภาค 3 ซึ่งเป็นการผิดรัฐธรรมนูญที่นายกฯไม่ควรมีหุ้น จะมีโทษไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้

แต่ประชาชนก็ไม่ได้เรียกร้องให้ กลต. ยุ่งกับเรื่องถอดถอนนายกฯ ในเรื่องนี้ เพียงแต่นำแรงจูงใจเรื่องนี้ ประกอบว่า อาจทำให้มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะซุกซ่อน จนทำให้การเปิดเผยข้อมูลในหนังสือชี้ชวน ว่าครอบครัวถือรวม 60% แต่ไม่ถึง 3 ใน 4 นั้นผิดไป ขอเป็นกำลังใจให้ สำนักงาน กลต. ทำหน้าที่ให้ตลาดทุนมีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใสน่าเชื่อถือโดยเสมอภาคกัน

ข้อมูลต่อไปนี้ เป็นหลักฐานเพื่อชี้ความไม่ชอบมาพากล ซึ่งสิ่งที่ท่านรักษาการนายกฯพูดไว้ตั้งแต่ปี 2543 แต่ต้องรอจนปี 2546 และ 2549 จึงมีหลักฐานเพิ่มว่า มีพฤติกรรมปกปิดซุกซ่อนมาโดยตลอดดังนี้

นายกฯอ้างว่าไม่รู้จักกับนักลงทุน
ในช่วง กันยายน 2543 มีข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โอนหุ้นไปบริษัทเกาะฟอกเงินมูลค่า 900 ล้านบาท แต่ท่านบอกว่า “ผมไม่ได้รู้จักบริษัทนี้ มีหน้าที่ขายแล้วรับเงินมาและขอบคุณเท่านั้นจบ ไม่ได้เป็นคนไปติดต่อ”

แต่ .. บ. แอมเพิลริช และ บ.วินมาร์ค ถูกจัดตั้งด้วยบริษัททรัสต์เดียวกัน มีที่อยู่เดียวกัน
แต่วินมาร์คกลับมีพฤติกรรมลงทุนราวกับเป็นกลุ่มเดียวกัน มีที่อยู่เดียวกับ บ.แอมเพิลริช ของนายกฯ จัดตั้งด้วยบริษัททรัสต์เดียวกัน ใช้ที่อยู่เดียวกันคือที่ P.O. Box 3151 Road Town Tortola British Virgin Island และ บ.วินมาร์คก็ได้ลงทุนหุ้น ในเงื่อนไขที่ยอมเสียเปรียบหลายประการแก่ครอบครัวชินวัตร โดยที่คนในวงการลงทุนจะไม่เชื่อว่ากองทุนใดจะยินดีทำเช่นนั้นหากไม่ใช่กลุ่มของตน

นายกฯยอมรับเพียง 3 บริษัท 900 ลบ.ในปี 43
จากข่าวคราวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ เช่น มติชน แนวหน้า ฯลฯ ในวันที่ 13 กันยายน 2543 รายงานข่าวว่า “เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่สภาหอการค้าไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค ทรท. ชี้แจงกรณีขายหุ้น 3 บริษัท คือ (1) โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ 550.8 ล้านบาท, (2) พีทีคอร์เปอเรชั่น 300 ล้านบาท, (3) เอสซีเค เอสเทต 55.5 ล้านบาท มูลค่า 906 ล้านบาท ให้กับ บริษัท วินมาร์ค ลิมิเต็ด บนเกาะบริติชเวอร์จิน ไอส์แลนด์ ...พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า “เป็นการขายให้นักลงทุนต่างประเทศ ไม่มีอะไรพิสดาร ในวงเงินประมาณ 800 กว่าล้านบาท โดยขายในราคาพาร์ คือ หุ้นละ 10 บาท”

แต่ .. พบจริง 5 บริษัท ร่วม 1.5 พันล้านบาท
จากข้อมูลทะเบียนหุ้น กระทรวงพาณิชย์ พบว่า มีอย่างน้อย 5 บริษัท ไม่ใช่เพียง 3 บริษัท มูลค่าร่วม 1,500 ล้านบาท ไม่ใช่เพียง 900 ล้านบาท มีหลักฐานเพิ่มเติมว่า วินมาร์คถือหุ้นอีก 2 บริษัท คือ (4) เอส ซี ออฟฟิซ ปาร์ค มูลค่าลงทุนประมาณ 465 ล้านบาท (5) เวิร์ธ ซัพพลายส์ มูลค่า122.4 ล้านบาท คิดเป็นเงินลงทุนรวม 5 บริษัทเป็นเงินประมาณ 1,493.6 ล้านบาท ซึ่งก็ลงทุนมาตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2543 เหมือนกัน แต่กลับมีการจงใจปกปิดมาตั้งแต่การสัมภาษณ์เพียงเดือนเศษหลังจากนั้นตลอดมา หากเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เป็นอิสระจริง นายกฯก็ไม่น่ามีเหตุที่จะต้องปกปิด เปิดเผยเพียงที่สื่อจับได้ในช่วงนั้นว่ามีเพียง 3 บริษัทมูลค่าเพียง 900 ล้านบาท ในขณะที่ความจริงคือ 5 บริษัทมูลค่า 1,493.6 ล้านบาท !

นายกฯบอกนักลงทุนยอมซื้อแพงเพื่อรอเข้าตลาดฯ
ในช่วงปี 2543 เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า บริษัทที่รับซื้อมีกิจการไม่ค่อยดี แต่ทำไม บ.วินมาร์คจึงสนใจซื้อหุ้นในขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า “เป็นเพราะบริษัทจะเข้าตลาดในโอกาสต่อไป การซื้อหุ้นในขณะนี้ ก็หวังผลกำไรในโอกาสข้างหน้า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”

แต่ .. วินมาร์ค กลับถูกเปลี่ยนตัว 3 สัปดาห์ก่อนยื่น กลต.
ปรากฏว่า บ.วินมาร์ค ถือหุ้นมา 5 บริษัท แต่บริษัทที่ดีที่สุด คือ โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ (ปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว โดยต่อไปจะย่อว่า “บมจ.”)ได้เตรียมตัวเดินหน้าเข้าตลาดฯ กลับมีการอำพราง 2 ขั้น โดยถือมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2543 และโอนหุ้นในวันที่ 11 สิงหาคม 2546 เป็น แวลูอ์ แอสเสทส์ ฟันด์ แอลทีดี มาเลเซีย ซึ่งถือหุ้นเพียงประมาณ 3 สัปดาห์ก็ได้เปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือหุ้นอีกครั้งในวันที่ 28 สิงหาคม 2546 เป็น โอเวอร์ซีส์ โกล์ฟ ฟันด์ อินซ์ และ ออฟชอร์ว ไดนามิค ฟันด์ อินซ์ ความประหลาดก็คือ กองทุนทั้ง 3 ที่เข้ามาถือในเดือนสิงหาคม 2546 มีที่อยู่เดียวกัน คือ L1, Lot7, Blk F, Saguking Commercial Bldg. Lalan Patau-Patau, 87000 Labuan Ft, Malysia แต่มีเหตุผลใดที่ต้องมีพฤติกรรมอำพรางขนาดนั้น ? ดังที่นายกฯได้บอกไว้ตั้งแต่ปี 2543 ว่า นักลงทุนยินดีลงทุน เพราะบริษัทจะเข้าตลาดในอนาคต แต่เมื่อ บ.วินมาร์ค รอมาถึง 3 ปี กลับเปลี่ยนเป็นกองทุนอื่นเพียง 3 สัปดาห์ก่อนยื่น กลต. !

และ...วินมาร์คและกองทุนที่เข้ามาสวมสละสิทธิ์หุ้นให้ลูกสาวนายกฯ
ทั้งนี้ ตามรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 6/2546 ของ บมจ. วันที่ 28 สิงหาคม 2546 วินมาร์คและกองทุนที่เข้ามาสวมแทน ก็ได้ทำสิ่งที่น่าแปลกใจ อีกคือ ในการเพิ่มทุนก่อนเข้าตลาด กลับสละสิทธิ์ 71 ล้านหุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาท ให้แก่ น.ส. พิณทองทา และ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หากคำนวณจากราคาเข้าตลาด 15 บาทต่อหุ้น เท่ากับว่า ทำให้ลูกสาวนายกฯทั้งสองได้ประโยชน์รวมถึง 355 ล้านบาท !

โดยที่ ... วินมาร์ค ยังถือหุ้นอื่นที่ไม่มีอนาคตต่อเป็นปี
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า อีก 4 บริษัทนั้น บ.วินมาร์คกลับถือต่อไปอีกกว่าปี โดยแต่ละบริษัทไม่สามารถลงทุนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แข่งกับบริษัทที่เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ เนื่องจากเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน จึงไม่มีบริษัทใดเข้าตลาดฯได้อีกเลย !

ไม่น่าเชื่อว่าเป็นกองทุนที่ไม่รู้จักกัน ที่ได้ยอมเสียเปรียบครอบครัวในหลายๆเรื่องขนาดนี้ !!

ในปี 2543 นายกฯท้าตรวจสอบฟอกเงิน
ตามข่าวในช่วงปี 2543 มีผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรที่ถูกหาว่าขายหุ้นเพื่อเป็นการฟอกเงิน พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวว่า ทำไมเงินสะอาดต้องนำไปฟอกด้วยหรือ เห็นมีแต่คนเอาเงินสกปรกไปฟอก แต่เงินของตนเป็นเงินสะอาด หากนำไปฟอกมันผิดปกติแล้ว

แต่... ปี 2549 นายกฯมีอำนาจเต็มที่ จะยินดีให้ตรวจฟอกเงิน หรือไม่ ?
ผมขอถามท่านนายกฯว่า พร้อมจะให้ ปปง. ตรวจที่มาที่ไป และทางเดินของเงินที่ผ่านบัญชี บ. วินมาร์ค, แวลูอ์ แอสเสทส์ ฟันด์, โอเวอร์ซีส์ โกล์ฟ ฟันด์ อินซ์, ออฟชอร์ว ไดนามิค ฟันด์ อินซ์, บมจ. และ น.ส. พิณทองทา ชินวัตร ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับโอนหุ้นอีก 4 บริษัทมาจาก บ.วินมาร์ค เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547 หรือคนใกล้ชิดหรือไม่ ?
เพราะ... การตรวจฟอกเงิน อาจนำไปสู่คำตอบว่า เป็นเงินสกปรกที่วินมาร์คได้มาอย่างไร ?
โดยเรื่องนี้อาจเป็นดังส่วนก้อนน้ำแข็งเล็กๆที่ลอยเหนือน้ำ แต่ที่อยู่ใต้น้ำนั้นมหาศาล โดยวินมาร์ค อาจมีคนเชื่อว่าแปลว่า “ชนะอภิสิทธิ์” แต่บ้างก็เดาว่า “ชนะค่าเงิน” แต่ไม่อยากตั้งชื่อ “วินบาท” จึงตั้งว่า “วินมาร์ค” แทน !!

ซึ่งอาจเป็นคำตอบ ตามที่นายเสนาะ เทียนทองได้เคยปราศรัยที่สนามหลวงในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า “เกิดวิกฤตการณ์ยุคบิ๊กจิ๋วเป็นนายกฯ ค่าเงินเรามีปัญหา ทักษิณส่งคนเข้ามาทำงาน เพื่อมาลอยค่าเงินบาท และตัวเองก็รวยอยู่คนเดียว คนอื่นต้องลำบาก เป็น NPL ทั่วทั้งประเทศ โดยทักษิณได้พบนายกฯ เพื่อเสนอแต่งตั้งนายทนงซึ่งเป็นคนของนายกฯ ทักษิณ เป็นรัฐมนตรีคลัง ลอยค่าเงิน พอเสร็จก็ลาออก”

บ.วินมาร์ค อาจเป็นการฟอกเงินที่มาจากการทำกำไรค่าเงินบาท (บนการขาดทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย เปรียบดังการปล้นเงินคลังหรือไม่ ?) วิกฤตที่ผ่านมา หลายคนประเมินว่า บาทไม่น่าจะอ่อนเกิน 30-35 บาท แต่อาจเป็นเพราะมีกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิด ผู้ซื้อดอลลาร์ทำกำไร เจ้าของแหล่งฟอกเงิน รมว.คลัง รองผู้ว่า ธปท. ขณะนั้น (ซึ่งปัจจุบันเป็นกรรมการ บมจ.ดังกล่าว) อาจปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ บาทจึงต้องอ่อนไปถึงกว่า 40-50 บาท !! ทำให้กิจการจำนวนมากแบกหนี้เกินความจำเป็น กิจการล้มละลายจนผู้คนต้องตกงานจำนวนมาก และความคิดขนาดเอาเงินเช่นนั้นมาฟอก เข้ามาซื้ออำนาจรัฐต่อมาก็มีความน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเช่นนั้น วิธีดีที่สุดคือการให้ ปปง.ตรวจสอบเส้นทางเงินที่มาของแหล่งเงินของ บ.วินมาร์ค ก็อาจนำไปสู่การพิสูจน์เรื่องนี้ได้อย่างโปร่งใสได้

รักษาการนายกฯรัฐมนตรี เพิ่งบอกว่า “สำหรับคนเลว กติกามีไว้ให้เลี่ยง สำหรับคนดีกติกามีไว้ให้ปฏิบัติ แต่เมื่อไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย คนพาลได้ดี คนดีเสียหาย” ข้าราชการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกันกับท่านเดินเรื่องต่อ เพื่อช่วยท่านผู้นำพิสูจน์ว่าท่านเป็น “คนดี” กันเถอะครับ

มนตรี ศรไพศาล ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย (montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น