xs
xsm
sm
md
lg

ร่วมฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของชาติ 3 : เมื่อมาตรฐานจริยธรรมไม่ตกต่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาษิตหนึ่งที่เราคุ้นเคยคือ “ไม่มีสัจจะในหมู่โจร” คือในหมู่โจรนั้นเชื่อถือไม่ได้ บริษัทมหาชนหรือรัฐบาลที่ผู้บริหารใช้อำนาจโกงประโยชน์บริษัทเพื่อประโยชน์ของตนและครอบครัว ก็ย่อมไม่น่าเชื่อถือ มาตรฐานจริยธรรมของประเทศ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับระดับความน่าเชื่อถือของประเทศ

ผมขอเรียนน้อมเตือนท่านผู้นำว่า ในบรรยากาศที่นักธุรกิจได้พูดคุยกัน เรื่องที่ท่านได้กล่าวพาดพิงถึง “คนมีบารมี” นับได้เป็น “Talk of the Town” ซึ่งได้ทำให้ความนิยมในตัวท่าน ได้เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ แม้หลายคนจะเชื่อมาก่อนว่า ท่านเป็นนายกฯที่เก่งที่สุด เหนือกว่านายกฯท่านใดๆ บางคนก็ไม่ถึงกับเชื่อเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่แม้กับหลายคนที่เคยเชื่อว่าท่านเก่งกว่าคนอื่น แต่ “ต้นทุน” ของสังคมที่ต้องได้ท่านมาเป็นนายกฯนั้น “สูงเกินไป” แล้ว เพราะเป็นต้นทุนหลายด้าน ดังนี้

(1) ประเทศต้องลดมาตรฐานจริยธรรมลง : แม้คนที่เคยรักท่านมากๆ ก็ไม่ได้สามารถอธิบายแก้ต่างว่า “ไม่จริงหรอก ท่านไม่ได้ทุจริตเชิงนโยบายเป็นหมื่นล้านแสนล้านบาทขนาดนั้น ท่านคงไม่ได้ซ่อนทรัพย์สินผ่านวินมาร์ค ที่เกาะฟอกเงิน” แต่บอกได้แค่ว่า “ทุกคนก็โกงเหมือนกัน” ผมว่าเฉพาะว่า “โกงก็ต้องลงจากอำนาจ” ยังมีคนก็กล้าโกงเป็นร้อยเป็นพันล้าน จึงไม่แปลกใจว่า ถ้าเชื่อว่า “ทุกคนโกงเหมือนกัน” ก็จึงได้โกงกันเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทเช่นนี้หรือ ผมเห็นว่า “คนมีบารมี” ได้สะสมบารมีเพราะจริยธรรม ความดี สอนให้ทุกฝ่ายรักษาจริยธรรม ปฏิบัติหน้าที่เพื่อแผ่นดินด้วยความถูกต้อง โดยอิงหลักคำสอนตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว ไม่ต้องเกรงกลัวกับอำนาจอธรรม ท่านกลับส่งสัญญาณทำนองว่า “อาจมีข่าวลือว่าอำนาจจะเปลี่ยน ทำให้เกร็ง ไม่ต้องกลัว ธงไม่เปลี่ยนอยู่แล้ว” ราวกับว่า เคยสนองอำนาจอย่างไร ก็ไม่ต้องเปลี่ยน ข้าราชการไม่ต้องฟัง “คนมีบารมี” !!

(2) ประชาชนรู้สึกถูกกดดันภายใต้อำนาจรัฐยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการในอดีต : ขนาด “คนมีบารมี” กล่าวหลักจริยธรรม ด้วยความเมตตา ไม่เคยให้ร้ายแก่ตัวบุคคล เฉพาะผู้ที่ไม่ได้มาตรฐานจริยธรรมนั้นๆ ที่จะรู้สึกถูกกระทบ กระนั้น ก็ยังถูกกดดันต่อหน้าหมู่ข้าราชการและเป็นข่าวชัดเจนถึงสาธารณชนว่า ท่านเป็น “คนมีบารมี” นอกรัฐธรรมนูญ ไม่มียุคใดที่ผู้เสนอความเห็นขัดแย้งจะถูกเตือนว่า “ไม่กลัวอำนาจหรือ” “ไม่มียุคใดที่อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างนี้” และ “ไม่มียุคใดที่มีการใช้อำนาจโดยไม่ชอบโดยไม่เกรงกลัวใดๆอย่างนี้” ผมว่า “ความกล้า” เป็นคุณธรรมที่มีค่าต่อสังคม เป็นศักดิ์ศรีของมนุษย์ ที่ไม่ควรต้องตกต่ำลง

(3) สังคมแตกแยก อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน : ในขณะที่ประชาชนจำนวนมาก ได้รับข้อมูลข่าวสารครบด้านก็ไม่พอใจท่าน หลายคนก็ได้รับข้อมูลเพียงบางด้านซึ่งมีการ “จัดการ” ให้เห็นว่า มีแต่ท่านที่ทำงานคนเดียว และคนอื่นไม่ทำงานเพื่อบ้านเมืองเลย ผมว่าฝ่ายตรวจสอบย่อมมีบทบาทตรวจสอบ หลายๆรัฐบาลก็มีผลงาน หากมีการให้โอกาสชี้แจงอย่างเป็นธรรม บางรัฐบาลได้ทำให้เครดิตประเทศสูงกว่านี้ ดัชนีตลาดปัจจุบันก็ยังไม่ได้ครึ่งของรัฐบาลในอดีต ท่านไม่ชี้แจงข้อสงสัยความทุจริตในตัวท่านให้กระจ่าง ไม่เคยมีการตอบคำถามต่อหน้าผู้รู้ทัน กลับยุยงประชาชนผ่านสื่อของรัฐว่า “ผู้ต่อต้าน ผู้ร่วมชุมนุม ล้วนเป็นผู้เสียผลประโยชน์ บ้างเกี่ยวข้องกับหวยใต้ดิน บ้างเกี่ยวข้องกับการค้ายา” ผมเคยแวะไปดูก็ไม่เป็นเช่นนั้น เหตุการณ์ในภาคใต้ มีคนเป็นกลางและยังบริสุทธิ์ใจต้องเสียชีวิตไม่น้อยในเหตุการณ์ที่ตากใบ หรือกรือเซะ ท่านกลับพยายามสร้างความรู้สึกว่า เขาเหล่านั้นเป็นพวกแบ่งแยกดินแดน เราวัดความรู้สึกของเราเองได้ว่า “ยุคนี้มีความร่มเย็นเป็นสุขและสมานฉันท์” เพียงไร เทียบกับทุกยุคทุกสมัย ล่าสุด ท่านก็สร้างความรู้สึกอีกว่า “คนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ แทรกแซงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ” “มีคนอยากเป็นนายกฯมาตรา 7” เป็นการให้ร้าย ทำให้เกิดความแตกแยกอีกหรือไม่

ฉบับต่อไป ผมจะกล่าวถึง การที่รัฐบาลได้สร้างภาระมากเป็นแสนๆล้านบาท สำหรับรัฐบาลในอนาคต สวนทางนโยบาย “เศรษฐกิจพอเพียง” และการตกต่ำของมาตรฐานประชาธิปไตยในยุคนี้

ช่วยกันภาวนาให้ผู้นำกลับใจ ให้บ้านเมืองมีความน่าเชื่อถือดีขึ้น เศรษฐกิจก็จะกลับมาดีได้ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น