บล.แอ๊ดคินซันเริ่มส่งสัญญาณปิดปิดสาขา นำร่องที่จังหวัดจันทบุรี โดยจะให้ไปควบรวมกับสาขาที่ระยองภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ จับตาจังหวัดที่มีห้องค้ากระจุกตัว มีโอกาสที่จะปิดห้องค้าได้ เหตุภาวะตลาดหุ้นซบเซา มูลค่าการซื้อขายในแต่ละจังหวัดลงลง ขณะที่โบรกเกอร์จำเป็นต้องควบคุมต้นทุน ระบุห้องค้ารายใดที่ไม่สามารถประคองมาร์เกตแชร์ให้ได้ตามเป้า และมีกระแสเงินสดลงลงอาจจะต้องปิด
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบล.แอ๊ดคินซันได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานบริการค้าหลักทรัพย์ที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อแจ้งว่าบริษัทจะปิดสาขาดังกล่าวภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากบล.แอ๊ดคินซัน พยายามที่จะลดต้นทุนในการบริหารงาน ดังนั้นจึงพยายามที่จะปิดสาขาบางแห่งที่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ เพื่อที่จะนำไปควบรวมกับสาขาที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันและบล.แอ๊ดคินซันก็ได้ปรับนโยบายโดยมุ่งที่จะหันไปเน้นนักลงทุนรายใหญ่หรือกองทุนรวม และนักลงทุนต่างประเทศแทน เพราะปัจจุบันนี้สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้สาขาที่จังหวัดจันทบุรีนั้นเปิดดำเนินธุรกิจมาแล้วประมาณ 2 เดือนและปัจจุบันนี้มีเจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้งที่มีใบอนุญาตแล้วจำนวน 4 คน
ซึ่งบล.แอ๊ดคินซันมีแผนที่จะนำสาขาดังกล่าวไปควบรวมกับสาขาที่ระยอง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวบริษัทจะให้เจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้งเลือกว่าจะย้ายไปอยู่ที่สาขาใหม่ หรือจะลาออก โดยบริษัทไม่ได้ดำเนินการล็อคใบอนุญาตแต่อย่างใด ในส่วนของลูกค้าก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้าเช่นเดียวกัน
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าการซื้อขายที่ลดลงนั้นได้ส่งผลทำให้บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนในการดำเนินงาน เพื่อความอยู่รอด ดังนั้นแนวทางหนึ่งก็คือการปิดสาขาที่ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ โดยเฉพาะในสาขาที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการเปิดสาขาอย่างกระจุกตัว
นอกจากนี้การขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดจะเป็นไปได้ยาก ซึ่งจะไม่คุ้มกับการเปิดให้บริการ ดังนั้นจึงอาจจะมีบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งที่หันไปให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตเทรดดิ้งแทนถ้าภาวะตลาดหุ้นยังซบเซาต่อเนื่อง เชื่อว่าสาขาที่ไม่สามารถรักษามาร์เกตแชร์ให้ได้ตามเป้าหมาย และมีกระแสเงินสดลดลง ก็มีโอกาสที่จะปิดการให้บริการเช่นเดียวกัน
"ห้องค้าที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งจะต้องพิจารณาถึงต้นทุนผันแปรว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าเป็นห้องค้าที่สามารถควบคุมต้นทุนดังกล่าวได้และถึงจุดค้มทุนแล้ว ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา ขณะที่ห้องค้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็คงจะต้องจับตามองว่าจะอยู่ได้หรือไม่ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย"แหล่งข่าวกล่าว
จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายในจังหวัดสำคัญๆ ที่บริษัทหลักทรัพย์ไปเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก พบว่าจำนวนสาขาลดลง และมูลค่าการซื้อขายก็ลดลงด้วย โดยเปรียบเทียบจากช่วงเดือนธันวาคม 2548กับช่วงเดือนพฤษภาคม 2549
ปรากฏว่าจังหวัดนนทบุรีซึ่งในธันวาคม 2548 มีสาขาจำนวน 11 แห่งแต่ในเดือนพฤษภาคม 2549 เพิ่มเป็น 12 แห่ง แต่ในส่วนของมูลค่าการซื้อขายนั้นลดลงจาก 7,160.19 ล้านบาทหรือ 1.24% ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวม ลดเหลือ 6,204.37 ล้านบาทหรือ 1%จังหวัดชลบุรีเดิมมีสาขาจำนวน 21 แห่งได้ลดลงเหลือ 20 แห่ง ส่วนมูลค่าการซื้อขายเดิมอยู่ในระดับ 5,586.35 ล้านบาทหรือ 0.97% ได้ลดเหลือ 5,411.16ล้านบาทหรือ 0.87%,จังหวัดสงขลา เดิมมีสาขา 20 แห่งปัจจุบันลดเหลือ 19 แห่ง มูลค่าการซื้อขายเดิม 9,194.09 ล้านบาทหรือ 1.59% ในเดือนพฤษภาคม เหลือ 9,056.09 ล้านบาทหรือ 1.46%
อย่างไรก็ตามภาพรวมการซื้อขายทั้งประเทศนั้นพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น ในเดือนธันวาคม 2548 มีสาขาจำนวน 439 แห่ง มีมูลค่าการซื้อขาย578,161.94 ล้านบาทขณะที่ในเดือนพฤษภาคม 2549 มีสาขาทั้งหมด 436 แห่งมูลค่าการซื้อขาย 620,368.27 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบล.แอ๊ดคินซันได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานบริการค้าหลักทรัพย์ที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อแจ้งว่าบริษัทจะปิดสาขาดังกล่าวภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากบล.แอ๊ดคินซัน พยายามที่จะลดต้นทุนในการบริหารงาน ดังนั้นจึงพยายามที่จะปิดสาขาบางแห่งที่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ เพื่อที่จะนำไปควบรวมกับสาขาที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันและบล.แอ๊ดคินซันก็ได้ปรับนโยบายโดยมุ่งที่จะหันไปเน้นนักลงทุนรายใหญ่หรือกองทุนรวม และนักลงทุนต่างประเทศแทน เพราะปัจจุบันนี้สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้สาขาที่จังหวัดจันทบุรีนั้นเปิดดำเนินธุรกิจมาแล้วประมาณ 2 เดือนและปัจจุบันนี้มีเจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้งที่มีใบอนุญาตแล้วจำนวน 4 คน
ซึ่งบล.แอ๊ดคินซันมีแผนที่จะนำสาขาดังกล่าวไปควบรวมกับสาขาที่ระยอง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวบริษัทจะให้เจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้งเลือกว่าจะย้ายไปอยู่ที่สาขาใหม่ หรือจะลาออก โดยบริษัทไม่ได้ดำเนินการล็อคใบอนุญาตแต่อย่างใด ในส่วนของลูกค้าก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของลูกค้าเช่นเดียวกัน
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีมูลค่าการซื้อขายที่ลดลงนั้นได้ส่งผลทำให้บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งจำเป็นต้องควบคุมค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนในการดำเนินงาน เพื่อความอยู่รอด ดังนั้นแนวทางหนึ่งก็คือการปิดสาขาที่ไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ โดยเฉพาะในสาขาที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการเปิดสาขาอย่างกระจุกตัว
นอกจากนี้การขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดจะเป็นไปได้ยาก ซึ่งจะไม่คุ้มกับการเปิดให้บริการ ดังนั้นจึงอาจจะมีบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งที่หันไปให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตเทรดดิ้งแทนถ้าภาวะตลาดหุ้นยังซบเซาต่อเนื่อง เชื่อว่าสาขาที่ไม่สามารถรักษามาร์เกตแชร์ให้ได้ตามเป้าหมาย และมีกระแสเงินสดลดลง ก็มีโอกาสที่จะปิดการให้บริการเช่นเดียวกัน
"ห้องค้าที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งจะต้องพิจารณาถึงต้นทุนผันแปรว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าเป็นห้องค้าที่สามารถควบคุมต้นทุนดังกล่าวได้และถึงจุดค้มทุนแล้ว ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา ขณะที่ห้องค้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็คงจะต้องจับตามองว่าจะอยู่ได้หรือไม่ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้ออำนวย"แหล่งข่าวกล่าว
จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายในจังหวัดสำคัญๆ ที่บริษัทหลักทรัพย์ไปเปิดสาขาบริการค้าหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก พบว่าจำนวนสาขาลดลง และมูลค่าการซื้อขายก็ลดลงด้วย โดยเปรียบเทียบจากช่วงเดือนธันวาคม 2548กับช่วงเดือนพฤษภาคม 2549
ปรากฏว่าจังหวัดนนทบุรีซึ่งในธันวาคม 2548 มีสาขาจำนวน 11 แห่งแต่ในเดือนพฤษภาคม 2549 เพิ่มเป็น 12 แห่ง แต่ในส่วนของมูลค่าการซื้อขายนั้นลดลงจาก 7,160.19 ล้านบาทหรือ 1.24% ของมูลค่าการซื้อขายโดยรวม ลดเหลือ 6,204.37 ล้านบาทหรือ 1%จังหวัดชลบุรีเดิมมีสาขาจำนวน 21 แห่งได้ลดลงเหลือ 20 แห่ง ส่วนมูลค่าการซื้อขายเดิมอยู่ในระดับ 5,586.35 ล้านบาทหรือ 0.97% ได้ลดเหลือ 5,411.16ล้านบาทหรือ 0.87%,จังหวัดสงขลา เดิมมีสาขา 20 แห่งปัจจุบันลดเหลือ 19 แห่ง มูลค่าการซื้อขายเดิม 9,194.09 ล้านบาทหรือ 1.59% ในเดือนพฤษภาคม เหลือ 9,056.09 ล้านบาทหรือ 1.46%
อย่างไรก็ตามภาพรวมการซื้อขายทั้งประเทศนั้นพบว่ามีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้น ในเดือนธันวาคม 2548 มีสาขาจำนวน 439 แห่ง มีมูลค่าการซื้อขาย578,161.94 ล้านบาทขณะที่ในเดือนพฤษภาคม 2549 มีสาขาทั้งหมด 436 แห่งมูลค่าการซื้อขาย 620,368.27 ล้านบาท