ผมเห็นข่าวเรื่องรัฐบาลประสบภาวะต้องเลื่อนการชำระเงินผู้รับเหมางานภาครัฐบางราย ราวกับมีสภาวะถังแตก แล้วผมก็เป็นห่วง หากถึงจุดที่มีโอกาส “ผิดนัด” อย่างกว้างขวาง ก็อาจเสียเครดิตได้ ซึ่งเครดิตของประเทศนั้น เป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่ง เป็นศักดิ์ศรี หน้าตาของประเทศ และเครดิตที่ดี ทำให้กู้เงินได้ด้วยต้นทุนการเงินที่ต่ำ และผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ และ/หรือ ผู้ลงทุนทางตรงมีความเชื่อมั่น และพร้อมลงทุนมากขึ้น
ผมจึงได้ศึกษาข้อมูลมากขึ้นถึงระดับ “ตั๋วเงินคลัง” ซึ่งเป็นเครื่องมือการกู้ยืมเงินระยะสั้นของรัฐบาลเพื่อบริหารเงินสดในกรณีที่กระแสเงินเข้าไม่ทันกับกระแสเงินออก ซึ่งหลายคนก็เทียบกับวงเงิน O/D ซึ่งภาคเอกชนมีวงเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคาร จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น พบว่ามีการสะสมยอดหนี้ตั๋วเงินคลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 6 หมื่นล้านเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เป็นประมาณ 2.5 แสนล้านบาทในปัจจุบัน !!
ข้อมูล “ตั๋วเงินคลัง” จากธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่ 2543-2549
ปี/เดือน | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | 2548 | 2549 |
มกราคม | 20,000 | 64,000 | 119,000 | 130,000 | 123,000 | 152,040 | 235,000 |
กุมภาพันนธ์ | 15,000 | 46,000 | 137,000 | 102,000 | 99,000 | 152,040 | 243,000 |
มีนาคม | 13,000 | 42,000 | 128,000 | 69,340 | 76,000 | 170,000 | 248,000 |
เมษายน | 20,000 | 66,000 | 143,000 | 87,340 | 108,000 | 170,000 | - |
พฤษภาคม | 22,000 | 57,000 | 162,000 | 66,340 | 120,000 | 170,000 | - |
มิถุนายน | 20,000 | 47,000 | 148,000 | 56,000 | 98,000 | 145,000 | - |
กรกฏาคม | 30,000 | 45,500 | 123,000 | 79,000 | 109,430 | 165,000 | - |
สิงหาคม | 35,000 | 54,500 | 130,000 | 95,000 | 133,960 | 166,000 | - |
กันยายน | 62,925 | 89,000 | 149,000 | 110,000 | 170,000 | 170,000 | - |
ตุลาคม | 33,000 | 83,000 | 134,000 | 95,000 | 126,570 | 160,000 | - |
พฤศจิกายน | 59,000 | 92,000 | 136,000 | 85,000 | 144,040 | 162,000 | - |
ธันวาคม | 62,000 | 107,000 | 134,000 | 107,000 | 152,040 | 199,000 | - |
ผมยังเชื่อในแง่ดีว่า รัฐบาลคงมีเหตุผลอันสมควรที่บริหารการเงินการคลังด้วยวิธีนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้น่าจะส่งสัญญาณให้รัฐบาลควรใช้นโยบายการเงินการคลังด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังมากขึ้นในหลายเรื่อง ดังนี้
1.รัฐบาลควรส่งสัญญาณการรักษาวินัยทางการเงินมากขึ้น โดยระดับตั๋วเงินคลังที่เพิ่มขึ้นสูงจนชนเพดานซึ่งได้ขยายมาอย่างต่อเนื่องนั้น เปรียบเสมือน “การขยายวงเงิน O/D” อย่างต่อเนื่องและ “ใช้เต็มวงเงิน” รัฐบาลจึงควรกันงบประมาณเพื่อลดหนี้ระยะสั้นจำนวนนี้ลง ปัญหาภัยธรรมชาติต่างๆได้ชี้ให้เห็นว่า อาจมีเหตุที่รัฐบาลต้องใช้เงินแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมายได้เสมอ รัฐบาลจึงควรรักษาระดับการกู้ระยะสั้นนี้ไม่ให้เต็มวงเงิน มิฉะนั้น เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ก็จะต้องขยายวงเงินอีก อันจะส่งสัญญาณการขาดวินัยทางการเงินมากยิ่งขึ้น
2.นักการเมืองทุกพรรคควรระมัดระวังการใช้เงิน เพื่อนโยบายหาเสียงแบบประชานิยม การแข่งกันหยิบยื่นเงินในคลังให้ประชาชนอย่างง่ายๆ เพื่อคะแนนเสียง ทั้งเป็นการขาดวินัยทางการเงิน และอาจส่งผลเสียให้ประชาชนรอคอยความช่วยเหลือของภาครัฐ โดยมิได้เร่งพัฒนาผลผลิตต่อประชากร และอาจถือได้ว่าเป็นนโยบายหาเสียงที่ขาดความรับผิดชอบต่อการยกระดับคุณภาพประชาชน และไม่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมั่นคงในระยะยาว
3.นักการเมืองไม่ควรแข่งกันเพียงแต่แสดงความสามารถในการใช้เงินได้มาก ซึ่งอาจเกิดจากการสร้างหนี้มากมาย ทั้งที่เป็นหนี้ทางการ หนี้ที่ซ่อนเร้น เช่น หนี้กองทุนน้ำมัน หนี้การเช่าศูนย์ข้าราชการ หนี้ไถ่หุ้นคืนกองทุนวายุภักย์ ฯลฯ และหนี้ตั๋วเงินคลังนี้ตามที่รายงานนี้ ทำให้เป็นห่วงว่าเป็นการสร้างภาระแก่คนรุ่นหลัง เพียงเพื่อประโยชน์ระยะสั้นของเรายุคนี้และนักการเมืองยุคนี้เพียงไร
4.ประชาชนไม่ควรเชื่อว่า นโยบายประชานิยม คือความเก่งและความใจกว้างของนักการเมือง เงินที่ใช้ก็เงินประชาชนทั้งสิ้น หนี้ที่เกิด ก็หนี้ของประชาชนและลูกหลานทั้งสิ้น นักการเมืองควรใช้เพียงจำกัด และควรจะเสนอนโยบายที่เอื้อต่อการเติบโตระยะยาว และด้วยความรับผิดชอบอย่างแท้จริงมากขึ้น
ผมจึงเชื่อว่า การใช้หลักการ “เศรษฐกิจพอเพียง” มีความสำคัญยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปครับ
มนตรี ศรไพศาล(montree4life@yahoo.com)