หุ้น "ไทยออพติคอล" ฝ่าภาวะตลาดหุ้นซบ ซื้อขายวันแรกราคาปิดเท่าจองที่หุ้นละ 2.80 บาท ผู้บริหารเผยฐานะการเงินบริษัทแข็งแกร่ง หลังระดมทุนในตลาดหุ้น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดเหลือ 0.3 เท่า พร้อมเดินหน้าสร้างผลงานตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น ด้านที่ปรึกษาทางการเงินเชื่อมั่นราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ
วานนี้ (16 พ.ค.) หุ้นบริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก โดยราคาหุ้นเปิดการซื้อขายที่ระดับ 2.80 บาท เท่ากับราคาจองที่กำหนดไว้ หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อสลับกับแรงเทขายทำกำไร ซึ่งในระหว่างวันราคาปรับตัวขึ้นมาสูงสุดที่ระดับ 2.94 บาท และราคาปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ 2.76 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 2.80 บาท เท่ากับราคาจอง มูลค่าการซื้อขายรวม 267.87 ล้านบาท
นายสว่าง ประจักษ์ธรรม ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เ ปิดเผยว่า บริษัทพอใจกับราคาหุ้นในช่วงเช้าที่ปรับตัวเหนือราคาจอง ซึ่งบริษัทหวังว่าจะทำให้ผลประกอบการภายในปี 2549 นี้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ตลาดรวมทั้งอุตสาหกรรมขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5-10%
ทั้งนี้ ไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการที่ใกล้เคียงกับประมาณการที่กำหนดไว้ เนื่องจากจะมีผลิตภัณฑ์เลนส์ชนิดใหม่ออกสู่ตลาด ขณะที่เลนส์สายตาชนิดเก่ายังมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น หลังจากที่ได้มีการหารือกับลูกค้าในประเทศอิตาลี รวมทั้งบริษัทยังมีแผนที่จะขยายการผลิตเพิ่มเติม เนื่องจากขณะนี้กำลังการผลิตเดิมยังไม่สามารถผลิตสินค้าได้ทันเวลาตามที่ลูกค้าสั่งเข้ามา
นายสว่าง กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทมีฐานะด้านการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 0.50 เท่า เหลือเพียง 0.30 เท่า
ม.ร.ว. ศศิพฤนท์ จันทรทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือAYS ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า หุ้นบริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีการค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าได้สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดทั้งในและนอกประเทศ ดังนั้นราคาจองที่กำหนดไว้ที่ระดับ 2.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งคำนวณจากปัจจัยพื้นฐาน ถือว่าไม่สูง แม้สัดส่วนราคาหุ้นต่อทุน(P/E) ของหุ้นบริษัทไทยออพติคอล กรุ๊ปจะอยู่ที่ 11 เท่าซึ่งสูงกว่าP/Eเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ที่อยู่ประมาณ 10.5 เท่า
ขณะที่ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นต่อการส่งออกของบริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป มีบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากบริษัทมีการส่งออกกระจายไปหลายประเทศ และวัตถุดิบในการผลิตส่วนมากนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งบริษัทไทยออพติคอล กรุ๊ปก็มีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศด้วย
ส่วนความเสี่ยงด้านการแข่งขัน ถือว่าน้อยมากเพราะสินค้าเลนส์เป็นสินค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง และต้องอาศัยการสร้างตราสินค้า (Brand) ทำให้คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยาก
นายศฤงคาร สุทัศน์ชูโต กรรมการ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเปิดเผยว่า เชื่อว่าราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้อีก เพราะจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์มองว่าราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ในระดับที่สูงกว่านี้
ทั้งนี้ เชื่อว่าหุ้นบริษัทไทยออพติคอล กรุ๊ปจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอลแทนที่ดีแก่นักลงทุน เพราะถือได้ว่าเป็นบริษัทที่มีหนี้น้อยจะเห็นได้จากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนยังอยู่ในระดับต่ำ
นายศฤงคาร กล่าวว่า ในช่วงที่กระจายหุ้นนั้นส่วนใหญ่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก เพราะจำนวนหุ้นที่กระจายถือว่าไม่มากนัก ดังนั้นจึงต้องเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อยให้ได้มากกว่า 1 พันราย เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดรวมถึงเพื่อให้มีฟรีโฟลทมากขึ้น เพราะถ้าขายให้กับนักลงทุนสถาบันจำนวนมากอาจจะทำให้รายย่อยถือหุ้นมีจำนวนไม่ถึง 1 พันรายได้ เพราะนักลงทุนสถาบันจะซื้อหุ้นในจำนวนมาก