xs
xsm
sm
md
lg

AYD ตั้งเป้าเริ่มเห็นกำไรปีที่ 3 เร่งสร้างความเข้าใจนักลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อยุธยา ดิริฟวทีฟส์ตั้งเป้าปีแรกมีลูกค้าเปิดบัญชีประมาณ 200 บัญชี โกยมาร์เกตแชร์ 5% ประเมินการดำเนินงานในปีที่3 อาจจะเริ่มเห็นกำไรเข้ามา ชูจุดแข็งเป็นบริษัทในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยาทำให้มีฐานลูกค้ากว้างขวาง รวมถึงมีการทำแยกบริษัททำธุรกิจที่ชัดเจน พร้อมเร่งสร้างความเข้าใจให้กับนักลงทุน

นายนิทิต พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัทอยุธยา ดิริฟวทีฟส์ จำกัด หรือ AYD เปิดเผยว่า จากการเปิดตลาดอนุพันธ์ หรือ TFEX เมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา ลูกค้าที่เปิดบัญชีและซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นลูกค้าที่มีบัญชีการลงทุนในหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ AYS ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าที่มาเปิดบัญชีกับบริษัทประมาณ 200 บัญชี และคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด หรือมาร์เกตแชร์ประมาณ 5%

ทั้งนี้มองว่าในช่วง 1-2 ปีแรกบริษัทหลักทรัพย์ที่เปิดให้บริการการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ ไม่น่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่จะเป็นการร่วมมือและช่วยเหลือกันมากกว่า ซึ่งมองว่าหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัทหลักทรัพย์ควรที่จะให้ความร่วมมือกันโดยการส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่การตลาด หรือมาร์เกตติ้ง ให้มีความเข้าใจและสามารถแนะนำนักลงทุนที่จะเข้ามาซื้อขายในตลาดอนุพันธ์

“ในช่วงระยะเวลานี้ ควรจะช่วยกันให้นักลงทุนมีความเข้าใจว่าตลาดอนุพันธ์มีการซื้อขายอย่างไร สามารถลงทุนได้แบบไหน คือสิ่งที่สำคัญ ซึ่งลักษณะการลงทุนในตลาดอนุพันธ์นั้นก็มีทั้งนักลงทุนที่ชอบเข้ามาเก็งกำไร หรือบางประเภทที่เข้ามาเพื่อบริหารความเสี่ยง ซึ่งตลาดจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต้องประกอบไปด้วยนักลงทุนทั้ง 2 ประเภท ซึ่งการเข้ามาเก็งกำไรก็ไม่ถือว่าผิด แต่ต้องการให้นักลงทุนเข้าใจในการลงทุน"นายนิทิตกล่าว

สำหรับสินค้าในตลาดอนุพันธ์ปัจจุบันมี SET 50 Index Future ต่อไปตลาดคงจะเลือกสินค้าที่จะเข้ามาซื้อขายให้มีความหลากหลายและหากได้รับความนิยม มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลตอบแทน (Turn Over) มากกว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งหมายถึงขนาดของปริมาณการซื้อขาย (วออลุ่ม) ที่เพิ่มขึ้นด้วย และสินค้าที่สามารถเข้ามาซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ได้นั้นเป็นสินค้าได้ทุกประเภท ยกเว้นสินค้าเกษตรที่ต้องเข้าซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) เช่น อาจมีการซื้อขายพันธบัตร ทองคำ หรือ น้ำมัน ล่วงหน้าก็มีความเป็นไปได้

นอกจากนี้ในอนาคตตลาดอนุพันธ์จะเปิดการซื้อขายแบบออฟชั่น (Option) ซึ่งจะยิ่งเป็นการช่วยให้ตลาดอนุพันธ์มีความน่าสนใจ และที่ผ่านมาตลาดในไต้หวันและเกาหลีก็เติบโตเนื่องจากการซื้อขายแบบออฟชั่น โดยนักลงทุนสามารถเข้าเก็งกำไรและบริหารความเสี่ยงได้เช่นกัน

นายนิทิตกล่าวว่า ปัจจุบันนี้มีลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทประมาณ 10 บัญชี ซึ่งในเบื้องต้นไม่อยากเร่งรัดที่จะสนับสนุนให้ลูกค้าเปิดบัญชี หากลูกค้าไม่มีความเข้าใจ ซึ่งการเปิดบัญชีเบื้องต้นในขณะนี้อาจจะมีการสอบถามถึงความเข้าใจในการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ว่าลูกค้ามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด ซึ่งลูกค้าน่าจะมาจากฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีเล่นหุ้นกับบล.กรุงศรีอยุธยา

หากมีการเปิดซื้อขาย Bond Future (พันธบัตร) ก็อาจจะมีลูกค้าที่ชอบการลงทุนในพันธบัตรโดยตรงเข้ามาลงทุน ซึ่งฐานลูกค้าอาจมาจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาเข้ามา และบริษัทจะต้องเตรียมความพร้อม เช่น อาจต้องหาเจ้าหน้าที่ด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันนี้ บริษัทมีมาร์เกตติ้งประมาณ 2-3 คนเท่านั้น โดยในขณะนี้ยังใช้มาร์เกตติ้งจากทางบล. กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นบริษัทแม่อยู่

“สำหรับจุดแข็งของบริษัทอยู่ที่จะมีบทวิเคราะห์ประจำวันออกมา เกี่ยวกับภาวะตลาดของดัชนี 50 รวมถึงมีคำแนะนำการลงทุนบริการให้กับลูกค้า และต่อไปในอนาคตอาจหาพันธมิตรร่วมทุน ซึ่งอาจจะเป็นนักลงทุนต่างชาติ โดยขณะนี้ติดต่อและให้ความสนใจในบริษัทประมาณ 3-4 ราย แต่ทั้งนี้บริษัทต้องรอดูในรายละเอียดและยังไม่รีบร้อนที่จะตัดสินใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับภาวะการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร โดยบริษัทอาจจะต้องพิจารณาถึงผลที่จะได้รับจากการมีพันธมิตรว่าที่ใดจะสามารถช่วยพัฒนาให้บริษัทเติบโตได้ในอนาคต”นายนิทิตกล่าว

นอกจากนี้ ฐานลูกค้าทั้งจากของบล.กรุงศรีอยุธยาและจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่จะช่วยเสริมให้บริษัทมีฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น รวมถึงการที่บริษัทแยกตัวออกจากบล.กรุงศรีอยุธยา อาจจะง่ายต่อกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ใช่ลูกค้าทั้งจากของธนาคารและบล.เข้ามาติดต่อ เพราะถือว่าไม่ได้เกี่ยวโยงกับตัวบล.ที่จะเป็นการแย่งลูกค้าปกติที่ทำการซื้อขายหุ้นกับบล.แห่งอื่นที่ยังไม่เปิดให้บริการด้านอนุพันธ์

นายนิทิต กล่าวว่า ส่วนเป้ารายได้นั้น ยังไม่ได้ตั้งความหวัง เนื่องจากมองว่าใน 1-2 ปี แรกบริษัทน่าจะมีผลออกมาเป็นขาดทุนมากกว่า และในปีที่ 3 ถึงจะเริ่มมีกำไรและในปีที่ 5- 6 อาจจะถึงจุดที่สามารถมีกำไรสะสมได้ เนื่องจากในปีต่อๆไปอาจมีธุรกรรมอย่างอื่นมาเสริม ซึ่งในเบื้องต้นเพราะนักลงทุนต้องเริ่มทำความเข้าใจและเพิ่งเปิดทำการซื้อขาย ส่วนค่าธรรมเนียมการซื้อขาย(คอมมิชชั่น) หลายฝ่ายได้ตกลงและสรุปว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว

ทั้งนี้ ในอนาคตมองว่า หากบริษัทสามารถที่จะให้บริการการซื้อขายแก่ลูกค้าในสินค้าได้ทุกประเภท และมีมาร์เก็ตแชร์เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ และการที่จะเปิดการซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในขณะนี้นั้นก็ยังไม่รีบที่จะเปิดให้บริการ เนื่องจากนักลงทุนโดยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และความเข้าใจในการซื้อขายตลาดอนุพันธ์ ดังนั้นน่าจะให้นักลงทุนมีความเข้าใจก่อนจึงค่อยเปิดการซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
กำลังโหลดความคิดเห็น