เลขาธิการ ก.ล.ต.สรุปผลการพิจารณาความผิดของลูกสาว-ลูกชายนายกรัฐมนตรี กรณีเงื่อนงำขายหุ้นชินคอร์ป โดย น.ส.พิณทองทาไม่มีความผิด แต่นายพานทองแท้ มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ก.ล.ต. มาตรา 246 และ 247 ที่ไม่ยื่นรายงานการซื้อขาย และไม่ได้ยื่นแบบการซื้อขาย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. สรุปผลการพิจารณาความผิดของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร โดย น.ส.พิณทองทาไม่มีความผิดในมาตรา 246 และ 247 แต่นายพานทองแท้มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ก.ล.ต. มาตรา 246 และ 247 ในกรณีที่ที่ไม่ยื่นรายงานการซื้อขาย และไม่ได้ยื่นแบบการซื้อขาย ซึ่งความผิดนับตั้งแต่วันที่ได้กระทำสำหรับการซื้อขายหุ้น SHIN ไม่เข้าข่ายใช้ข้อมูลภายในเพื่อการได้เปรียบในการซื้อหุ้น ซึ่งมีความผิดเพียงเปรียบเทียบปรับเท่านั้น ไม่ถึงขั้นโทษจคุกโดยอาจมีการเปรียบเทียบปรับวันละ 10,00 บาท หรือไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี โดยคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับของ ก.ล.ต.จะประชุมพิจารณาอัตราค่าปรับอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้
ส่วนกรณี การตั้งบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนต์ ที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน เพื่อเข้ามาถือหุ้นในชินคอร์ป และมีการขายหุ้นให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา นั้น ไม่ผิดกฎหมายใดๆ เพราะว่าขั้นตอนไม่มีการซื้อขายเพื่อสร้างราคา แต่เป็นการโอนหุ้นไปมาระหว่างกันเท่านั้น
สำหรับในข้อสงสัยที่มีการใช้อินไซเดอร์ หรือข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป จากแอมเพิล ริช นั้น ก.ล.ต.เห็นว่า ผู้ถือหุ้นในแอมเพิล ริช กับผู้ที่รับซื้อหุ้นเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน คือนายพานทองแท้ กับ น.ส.พิณทองทา เพียง 2 คน ไม่ถือว่าการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ไม่ได้ทำให้บุคคลภายนอกเสียหาย หรือเกิดความเสียเปรียบในการซื้อขายหุ้น ซึ่งไม่เข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายใน
รายละเอียดคำแถลงของ ก.ล.ต.
ผมอยากเรียนชี้แจงว่า ที่ผ่านมานั้นอาจจะมีบางคนมีข้อกังวลว่าทำไมในเรื่องนี้ทาง ก.ล.ต.ยังไม่ได้ทำอะไรเลย หรือว่าทำอะไร รู้สึกดูแล้วล่าช้า และมีข้อวิจารณ์ว่าการดำเนินการของ ก.ล.ต.นั้นมี 2 มาตรฐานหรือไม่ อยากเรียนว่าการดำเนินการของ ก.ล.ต. ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลการใช้กฎหมายนั้น จำเป็นต้องดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ และต้องอาศัยข้อมูลหลักฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลหลักฐานในกรณีนี้ หลายเรื่องต้องเป็นข้อมูลจากต่างประเทศ ฉะนั้นที่ผ่านมาเลยทำให้การดำเนินการต้องใช้เวลาไปบ้าง ขณะนี้เราได้ข้อมูลจากต่างประเทศครบเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้เราสามารถมีข้อสรุปได้
เนื่องจากเรื่องนี้อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างมาก เพราะฉะนั้น นอกจากดำเนินการในเรื่องนี้อย่างละเอียด รอบคอบ และระมัดระวังแล้ว ทาง ก.ล.ต.ได้กำหนดกรอบการทำงานไว้ 2 ด้านด้วยกัน ด้านแรก เนื่องจากว่าอำนาจของ ก.ล.ต.นั้น ทั้งอำนาจและหน้าที่นั้นได้มีการกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เพราะฉะนั้นอำนาจของ ก.ล.ต.มีเฉพาะในเรื่องของกฎหมายนี้ และไม่เกินเลยไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นกรอบแรกที่กำหนดก็คือว่า เราตรวจสอบเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์นี้เท่านั้น ก.ล.ต.ไม่ได้ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายอื่นๆ ซึ่ง ก.ล.ต.ไม่มีทั้งอำนาจหรือหน้าที่ หรือมีความรู้ความชำนาญ กรอบที่ 2 ก็คือว่า ก.ล.ต.ยึดถือความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด โดยจะอ้างอิงตัวอย่างในอดีตเปรียบเทียบไว้ด้วยอย่างชัดเจน วัตถุประสงค์ก็คือ เพื่อจะให้มีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายหลักทรัพย์ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย
เมื่อแถลงข่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราจะนำข้อมูลทั้งหมดเอาเข้าในเว็บไซต์ของ ก.ล.ต.ในช่วงบ่าย ถ้าท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลในเว็บไซต์ของเราได้ ผมอยากเรียนย้ำว่าการปฏิบัติของ ก.ล.ต.นั้นมีมาตรฐานเดียว การกำหนดกฎระเบียบของ ก.ล.ต.นั้น เราไม่ได้กำหนดโดยลำพังภายใน ก.ล.ต. แต่การกำหนดกฎระเบียบนั้น เราจะดึงเอาภาคเอกชนในธุรกิจหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน มาร่วมในการยกร่างกฎระเบียบต่างๆ ในการตีความต่างๆ เพราะฉะนั้นมาตรฐานการตีความ การบังคับใช้กฎหมายเป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไป ในวงการธุรกิจหลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าเราจะหยิบเรื่องใดขึ้นมาแล้วมาบิดเบือนให้เข้ากับสถานการณ์อันใดอันหนึ่งตามใจชอบได้ ผมถึงอยากย้ำว่าเป็นไปไม่ได้ที่ ก.ล.ต.จะปฏิบัติโดยมี 2 มาตรฐาน เพราะมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ในวงการธุรกิจหลักทรัพย์เกี่ยวข้องมากมาย ทุกคนก็มีข้อมูลและมีความรู้เรื่องนี้
ก่อนที่จะเข้าสู่รายละเอียดต่างๆ ผมคิดว่าผมจำเป็นต้องอธิบายหลักการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ก่อน กฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้คือหมวดที่เรียกว่าหมวดการครอบงำกิจการ ที่กฎหมายมีมาตราต่างๆ มีข้อกำหนดต่างๆ ในหมวดนี้ก็เพราะตระหนักดีว่า การที่มีบริษัทซึ่งมีผู้ถือหุ้นจำนวนมากมายหลากหลาย มันอาจจะมีผู้ถือหุ้นบางคน ซึ่งขณะใดขณะหนึ่งนั้นอยากจะเข้าไปครอบงำกิจการ เพื่อจะเข้าไปเปลี่ยนนโยบายทางธุรกิจก็ดี เปลี่ยนกรรมการก็ดี เปลี่ยนผู้บริหารก็ดี เพราะฉะนั้นขบวนการที่บุคคลนั้นจะเข้าไปครอบงำกิจการ จำเป็นจะต้องจัดให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง จัดทำให้เกิดความโปร่งใส เพราะฉะนั้นมาตราที่เกี่ยวข้องมีทั้งหมด 3 มาตราด้วยกัน
มาตรา 246 กำหนดไว้ว่า บุคคลใดได้มา หรือจำหน่าย หลักทรัพย์ของกิจการใด ในลักษณะที่ทำให้ตน หรือบุคคลอื่น เป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้น เพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ต้องรายงาน รายงานนี้ ก.ล.ต.ก็จะเปิดเผยเป็นการทั่วไปด้วย
กรณีมาตรา 246 นี้ คำว่ากิจการใดนั้น เราถือปฏิบัติเฉพาะกรณีของบริษัทมหาชน ถ้าเป็นบริษัททั่วไปนั้น บทบัญญัติข้อนี้ไม่ใช้บังคับ แต่ถ้าเป็นบริษัทมหาชน ใช้บังคับทุกกรณี สาเหตุที่กฎหมายกำหนดเช่นนี้เพื่อให้ผู้ถือหุ้นอื่นๆ ได้ทราบว่า ถ้ามีบุคคลใดบุคคลหนึ่งกำลังสะสมหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงในการที่จะเข้าครอบงำกิจการนั้น ทุกๆ ร้อยละ 5 จะต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นได้รับทราบ ทีนี้คำถามว่า ถ้าเป็นการซื้อหุ้นของบริษัทมหาชนโดยตรง เช่น ซื้อหุ้นชินโดยตรง ทุกร้อยละ 5 ต้องรายงาน คำถามคือว่า แล้วถ้าเกิดเป็นการซื้อหรือเป็นการได้มาหุ้นนั้นโดยอ้อม เช่น สมมุติว่ามีบริษัทหนึ่ง ชื่อแอมเพิล ริช แล้วบริษัทนี้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทมหาชน ชื่อ ชิน ถือมาก่อนหน้า ต่อมาตัวเองเข้าไปซื้อบริษัทนี้ ถามว่ามีหน้าที่ต้องรายงานตามมาตรานี้หรือไม่ อยากเรียนว่า กฎหมายไม่กำหนดให้มีหน้าที่ต้องรายงาน เพราะเป็นการเข้าไปซื้อหุ้นในผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนอีกทีหนึ่ง
มาตรา 247 กำหนดไว้ว่า บุคคลใดเสนอซื้อหรือกระทำการอื่นใด อันเป็นผลให้ตนได้มาหรือเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 25 ขึ้นไป ของกิจการ ให้ถือว่าเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (Take Over) คณะกรรมการ ก.ล.ต.ก็จะกำหนดให้บุคคลนั้นจัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ หรือ เทนเดอร์ ออฟเฟอร์
มาตรา 247 นี้ ในกิจการตรงนี้ไม่ได้หมายถึงบริษัทมหาชนทั้งหมด แต่หมายถึงเฉพาะบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เหตุผลที่มีการกำหนดเช่นนี้ก็เพราะว่า เนื่องจากผู้ที่เข้าครอบงำกิจการนั้น อาจจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับการทำธุรกิจ เปลี่ยนแปลงตัวกรรมการ หรือเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหาร เพราะฉะนั้น กฎหมายก็เลยเปิดโอกาสว่า ถ้ามีผู้ถือหุ้นรายอื่นซึ่งไม่ค่อยชอบใจ ไม่ค่อยมั่นใจ หรือยังไม่มีความมั่นใจในกลุ่มนี้ หรือบุคคลนี้ล่ะก็ สามารถขายหุ้นออกได้ ทีนี้กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้ มันก็มีปัญหาว่าเกิดการเลี่ยงได้ ถ้ากฎหมายกำหนดไว้แค่มาตรา 247 ก็เกิดการเลี่ยงได้ ผมแทนที่จะซื้อโดยตรง ผมก็ไปอาศัยคนที่ใกล้ชิด คนที่เกี่ยวข้อง เป็นคนที่ซื้อแทน เพราะฉะนั้นมาตรา 258 กำหนดเพิ่มเติมไว้ว่า ถ้ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปซื้อ ให้นับรวมเป็นของตัวเองด้วย บุคคลที่เกี่ยวข้องที่กำหนดไว้ตามมาตรา 258 นั้น มีทั้งหมด 7 วงเล็บด้วยกัน เช่น เป็นคู่สมรส เป็นบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือเป็นบริษัทจำกัดซึ่งบุคคลนั้น หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถือหุ้นรวมกันเกินกว่าร้อยละ 30 แต่ที่สำคัญคือวงเล็บ 7 ซึ่งเป็นวงเล็บที่ค่อนข้างมีความละเอียดอ่อน ซับซ้อน ก็คือว่า นับรวมนิติบุคคล ซึ่งบุคคลที่ว่านี้สามารถมีอำนาจในการจัดการในฐานะเป็นตัวแทนของนิติบุคคลนี้ด้วย ทั้งนี้เดี๋ยวจะพบว่ากรณีที่มีบุคคลเข้าไปเป็นกรรมการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายพานทองแท้ เข้าไปเป็นกรรมการของแอมเพิล ริช นั้น ก็เลยทำให้เกิดการนับรวม
สาเหตุที่การนับรวมกำหนดไว้อย่างนี้ อยากเรียนว่า การนับรวมตามมาตรา 258 กำหนดไว้ ในการนับรวมนั้นจะมองเฉพาะจากแง่มุมของการกระทำที่เป็นเจ้าตัวเป็นหลัก ไม่ใช่แง่มุมจากการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพราะบางครั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องเขาก็จะไปทำอะไรของเขาเพื่อตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะฉะนั้น สมมติว่าตัวเองถือหุ้นอยู่แล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วต่อมาตัวเองซื้อหุ้นเพิ่มอีก จนกระทั่งเป็น 26 อย่างนี้ต้องทำคำเสนอซื้อ อันนี้ชัดเจน เพราะตัวเองเข้าไปซื้อ ถ้ากรณีที่ 2 สมมุติตัวเองถือหุ้นอยู่แล้ว 20 แล้วบุคคลที่เกี่ยวข้อง ภายหลังไปซื้อเพิ่มอีก 6 เปอร์เซ็นต์ เลยทำให้นับรวมกันแล้วเป็น 26 เปอร์เซ็นต์ กรณีนี้ยังไม่ต้องทำคำเสนอซื้อ เพราะเหตุผลคือมองจากแง่มุมของเจ้าตัวเป็นหลัก แต่ถ้าภายหลังจากที่ตัวเองก็ถือ 20 เปอร์เซ็นต์ บุคคลที่เกี่ยวข้องก็ถืออีก 6 แล้วตัวเองไปซื้อหุ้นในบริษัทมหาชน เช่น ชิน โดยตรง เพิ่มขึ้นแม้แต่อีกหุ้นเดียว อันนี้ก็อยู่ในข่ายจะต้องทำคำเสนอซื้อ
อีกกรณีหนึ่งเพื่อจะให้เห็นตัวอย่าง ถ้าตัวเองถืออยู่แล้ว 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็มีอีกบริษัทหนึ่งเช่นสมมติว่าชื่อแอมเพิล ริช ขณะนั้นยังไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง แล้วถือหุ้นอยู่ต่างหากอีก 6 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ ถ้าต่อมาตัวเองไปซื้อบริษัทนั้น คือบริษัท แอมเพิล ริช ถ้าซื้อเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ของแอมเพิล ริช ขึ้นไป จะแยก วิธีปฏิบัติจะเป็น 2 กรณี คือถ้าเป็นกรณีที่เกิดขึ้นก่อน 1 มกราคม 46 ซึ่งเป็นกรณีนี้ที่ผมจะชี้ต่อไป ยังไม่ต้องทำคำเสนอซื้อ เว้นแต่ภายหลังถ้าหากว่าตัวเองเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทมหาชน คือ ชิน เพิ่มขึ้นแม้แต่หุ้นเดียว ตอนนี้ล่ะจะต้องทำคำเสนอซื้อ แต่ถ้าเกิดขึ้นหลัง 1 มกราคม 46 ซึ่งทาง ก.ล.ต.ประกาศใช้กฎที่เราเรียกว่ากฎ Chain Principal ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ถ้าเกิดเข้าไปซื้อหุ้นในแอมเพิล ริช แม้แต่เกิน 50 ถ้าเกิดขึ้นหลัง มกรา 46 ก็จำเป็นจะต้องทำคำเสนอซื้อ อันนี้เป็นวิธีการอธิบายกฎหมาย แต่อธิบายแล้วท่านคงจะเห็นว่ากฎหมายเรื่องนี้เป็นกฎหมายซึ่งมีความละเอียด ซอยย่อย และมีความซับซ้อนสูงมาก เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมาเราจะพบว่าจะมีผู้ที่ปฏิบัติผิดกฎหมาย ในเรื่องการยื่นรายงานก็ดี การไม่ทำเทนเดอร์ก็ดี โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ จำนวนมาก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าผิดมากน้อยแค่ไหน
ทีนี้ผมจะชี้แจงในเรื่องของข้อเท็จจริง เรื่องแรกที่จะชี้แจงก็คือว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา จะให้ทราบว่าการซื้อขายหุ้นนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร แล้วก็ในการที่ซื้อขายหุ้นนั้น มีใครมีภาระที่จะต้องรายงานบ้าง ถ้ามีภาระแล้วรายงานหรือไม่ มีใครที่จะต้องมีภาระที่จะต้องจัดทำคำเสนอซื้อบ้าง มีแล้วทำคำเสนอซื้อหรือไม่ ถ้าไม่มี ใครผิด ผิดอย่างไร
ข้อมูลในเรื่องของการซื้อขายหุ้นนั้น เริ่มต้นเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 42 เมื่อนายกฯ ขายหุ้นชินให้กับแอมเพิล ริช อันนี้เป็นการขายหุ้นให้กับบริษัท ในจำนวน 11.88 เปอร์เซ็นต์ ตามกฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องยื่นรายงาน แล้วเขาก็ยื่นเรียบร้อย แต่การที่แอมเพิล ริช ซื้อหุ้นชินนั้น ไม่ต้องเสนอซื้อเพราะว่าต่ำกว่าร้อยละ 25
ถัดไป 22 ก.พ.43 นายพานทองแท้ได้เข้าไปเป็นกรรมการแอมเพิล ริช เพราะฉะนั้น ในวันนั้นถือว่านายพานทองแท้เข้าไปถือหุ้นชินโดยอ้อม 11.21 อัตราเปลี่ยนไปเนื่องจากมีการเพิ่มหุ้นในชิน จากการเอ็กเซอร์ไซส์วอแรนต์ อะไรต่างๆ ทีนี้ถามว่ากรณีนี้ ต้องรายงานหรือไม่ นี่ก็เห็นชัดว่าไม่ต้องรายงาน เพราะไม่ได้เป็นการเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทชินโดยตรง แต่ว่าที่เอามาแสดงเพราะว่านายพานทองแท้ นับแต่วันที่ 22 ก.พ. 43 นายพานทองแท้ ต้องนับแอมเพิล ริช เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 258 อันนี้ถึงเป็นเหตุที่ว่า ถ้าต่อไปมีการซื้อหรือขายหุ้น แล้วไม่รายงาน เข้าข่ายผิด
ถัดไป 13 เม.ย. 43 แอมเพิล ริช เอาหุ้นชิน 10 ล้านหุ้น ไปฝากไว้กับคาสโตเดียน หรือโบรกเกอร์ ถามว่าต้องรายงานหรือไม่ ก็ไม่ต้องรายงานอีก เพราะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในกรรมสิทธิ์ เพียงแต่ย้ายหุ้นจากชื่อตัวเองเอาไปฝากไว้ในบัญชีของคาสตอเดียน
ถัดมา 1 ก.ย. 43 ตรงนี้จะเห็นว่ามี ผิด 1 ผิด 2 เหตุเกิดอย่างนี้ว่า ท่านนายกฯ กับภริยา ขายหุ้นชิน 24.99 ให้กับนายพานทองแท้ ทีนี้นายกฯ กับภริยา ขาย ต้องรายงานก็ยื่นเรียบร้อย นายพานทองแท้ซื้อหุ้นชิน 24.99 ต้องยื่นรายงาน ก็ยื่น แต่ยื่นไม่ครบ เพราะว่านายพานทองแท้ในขณะนั้นยื่นแต่เฉพาะหุ้น 24.99 ที่ตัวเองถือ แต่ว่าในขณะนั้นบุคคลตามมาตรา 258 บุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายพานทองแท้ มีแอมเพิล ริช ถืออยู่ 11.21 ด้วย ไม่ได้ยื่น เพราะฉะนั้น ผิดกรณีที่ 1 และ 2 เนื่องจากนายพานทองแท้นับรวมกับทางแอมเพิล ริช เกินร้อยละ 25 ผิดกรณีที่ 2 ซึ่งจะต้องทำคำเสนอซื้อแต่ไม่ได้ทำ
ถัดไป 1 ธ.ค. 43 ท่านนายกฯ ขายหุ้นของแอมเพิล ริช 100 เปอร์เซ็นต์ ให้กับนายพานทองแท้ คำถามคือว่าการขายหุ้นอย่างนี้ ถึงแม้ว่าแอมเพิล ริช นั้นถือหุ้นในชินอีกต่อหนึ่ง ถามว่าท่านนายกฯ มีภาระจะต้องยื่นรายงานอะไรหรือไม่ เรียนว่าตามกฎหมายไม่ต้อง นายพานทองแท้ที่ซื้อหุ้นในแอมเพิล ริช นั้น ก็ไม่มีภาระต้องยื่นรายงาน ขณะเดียวกัน ในเรื่องของการทำคำเสนอซื้อก็ไม่มีภาระตามกฎหมายเช่นเดียวกัน
ผมอยากชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนการถือหุ้นของนายพานทองแท้นั้น ตั้งแต่กันยาฯ 43 ถึงธันวาฯ 43 นั้น โดยตรงและโดยอ้อมรวมกันก็ยังเป็น 36.20 เท่าเดิม
ถัดไป วันที่ 7 ก.พ. 44 เรามีข้อมูลว่า นายพานทองแท้ซื้อหุ้นชินอีกโดยตรง แต่ว่าซื้อแค่ 22 หุ้น ไม่ใช่ 22 ล้านหุ้น คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ มันจุดทศนิยมหลายจุดแล้ว ทีนี้ในการซื้อหุ้น 22 หุ้นนั้น สัดส่วนการถือหุ้นมันแทบไม่เปลี่ยนแปลง แล้วถามว่ามีภาระจะต้องยื่นรายงานหรือไม่ ไม่ต้อง และภาระในการทำคำเสนอซื้อก็ไม่ต้อง
ส่วน 9 ก.ย. 45 นายพานทองแท้ ขายหุ้นชิน 12.5 เปอร์เซ็นต์ ไปให้กับ น.ส.พิณทองทา 12.5 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีนี้นายพานทองแท้มีหน้าที่ต้องยื่นรายงาน แต่ยื่นไม่ครบอีกเช่นกัน เพราะยื่นโดยที่ไม่ได้รวมแอมเพิล ริช เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้น ผิดกรณีที่ 3 ส่วนกรณีของ น.ส.พิณทองทา นั้น ภาระต้องยื่นรายงาน มี และยื่นมาถูกต้อง เพราะแอมเพิล ริช นั้นยังไม่นับเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องของ น.ส.พิณทองทา คำเสนอซื้อก็ไม่ต้องทำเช่นกัน
อยากให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว สัดส่วนการถือหุ้นของ 2 คนรวมกัน ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง จาก 36.20 เป็น 36.20 แล้วก็เป็น 36.20
ถัดไป เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 46 นายพานทองแท้ ขายหุ้นชินให้กับ น.ส.พิณทองทา อีกเล็กน้อย 2.49 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะของการยื่นรายงานก็ไม่จำเป็นต้องยื่นทั้ง 2 กรณี และผู้ที่ซื้อก็ไม่มีภาระจะต้องทำคำเสนอซื้อ
16 พ.ค. 48 นายพานทองแท้ ซื้อหุ้นแอมเพิล ริช ที่เพิ่มทุน แล้ว น.ส.พิณทองทา ก็เข้าไปซื้อหุ้นแอมเพิล ริช ที่เพิ่มทุน แล้วก็เข้าไปเป็นกรรมการด้วย ถามว่าเวลานั้นมีความจำเป็นจะต้องยื่นรายงานหรือไม่ ไม่ต้องทั้งคู่ เพราะว่าไม่ได้เป็นการซื้อเข้าไปในทางบริษัทชินโดยตรง ไม่มีภาระจะต้องเสนอซื้อเช่นเดียวกัน
20 ม.ค. 49 นี่คือตอนที่เขาจะปิดดีล แอมเพิล ริช ก็ขายชินให้กับพานทองแท้และพิณทองทา ขายชิน 10.97 เปอร์เซ็นต์ ให้พานทองแท้ 5.49 และพิณทองทา 5.49 เช่นกัน ทั้ง 3 กรณี มีภาระจะต้องยื่นรายงาน แล้วก็ยื่น ส่วนพานทองแท้กับพิณทองทานั้นไม่มีภาระจะต้องจัดทำคำเสนอซื้อ
สุดท้ายที่เป็นการโอนขายหุ้นทั้งหมด 23 ม.ค. 49 ทั้งพานทองแท้และพิณทองทา ขายหุ้นชิน 15.29 เปอร์เซ็นต์ และ 20.15 เปอร์เซ็นต์ ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ทั้ง 3 บุคคลนั้นมีภาระจะต้องยื่นรายงาน แล้วก็ยื่น โดยที่กรณีของทั้งสองคนนี้มีการแก้ไขรายงาน แล้วก็กลุ่มเทมาเส็กที่ทำการซื้อหุ้นชิน 49.59 นั้น มีภาระจะต้องจัดทำคำเสนอซื้อ และก็กำลังดำเนินการ
ผมอยากเรียนให้ทราบว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลและหลักฐานตามนี้แล้ว ผลสรุปในเรื่องของการซื้อขายหุ้นเป็นอย่างไร
ประเด็นแรก ผลสรุปก็คือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.พิณทองทา ไม่มีความผิดเกี่ยวกับการจะต้องยื่นรายงานใด และ น.ส.พิณทองทา ในการที่เข้าไปซื้อหุ้นต่างๆ นั้น ไม่มีความผิดในการที่จะต้องทำคำเสนอซื้อใดๆ
ส่วนนายพานทองแท้ มีหน้าที่ต้องยื่นรายงาน 2 กรณี แล้วไม่ดำเนินการ กรณีแรกเมื่อกี้ที่ผมชี้ ก็คือว่าผิดตามมาตรา 246 เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 43 ยื่นรายงานและไม่ครบถ้วน ผิดมาตรา 246 อีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 45 ยื่นรายงานแล้วก็ไม่ครบถ้วนเช่นเดียวกัน และสุดท้าย ผิดมาตรา 247 คือไม่ได้ทำคำเสนอซื้อ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 43
ถามถึงบทกำหนดโทษกรณีเช่นนี้จะเป็นอย่างไร เรียนว่า กฎหมายกำหนดไว้ว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 246 และ 247 นั้น มีบทกำหนดโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับรายวันได้ไม่เกินวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะกระทำให้ถูกต้อง หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่กรณีถ้าหากว่าใช้วิธีเปรียบเทียบปรับ เรียนว่าคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับนั้น เป็นคณะกรรมการที่ตั้งภายนอกจาก ก.ล.ต. เป็นคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประกอบด้วยผู้แทนจาก 3 หน่วยงาน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราค่าปรับ
กระบวนการในการปรับนั้น ก.ล.ต.ก็จะทำเรื่องแล้วแจ้งไปให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบก่อน แล้วถามว่ายินยอมที่จะให้มีการปรับหรือไม่ ถ้ายินยอมที่จะให้มีการปรับ ก็จะนำเสนอคณะกรรมการต่อไป
ทีนี้ ถามว่าในกรณีความผิดตามมาตรา 246 , 247 นั้น ที่ผ่านมาเคยมีกรณีที่ ก.ล.ต.ไม่ปรับ แต่เสนอดำเนินคดีเพื่อที่จะเอาผิด ถึงขั้นที่พยายามจะให้มีการจำคุกหรือไม่ ต้องเรียนว่า ที่ผ่านมานั้น ถ้าหากว่าเป็นความผิดเฉพาะ 2 มาตรานี้ ไม่มีความผิดอื่นๆ พ่วงอยู่ด้วย ก.ล.ต.จะเสนอให้เปรียบเทียบปรับทุกกรณี ทุกครั้ง ในช่วงที่ผ่านมามีทั้งหมด 72 กรณี ที่ผิดอย่างนี้แล้วเราเสนอให้เปรียบเทียบปรับ แต่มีกรณีที่เสนอให้กล่าวโทษอยู่ 7 ครั้งด้วยกัน อันนี้มีเหตุผล 2 ลักษณะด้วยกัน อันแรกเป็นกรณีที่เป็นความผิด 2 มาตรานี้ แล้วไปพัวพัน เกี่ยวข้องกับความผิดอื่นที่รุนแรงมากกว่า เช่น มีการตกแต่งบัญชี หรือมีการใช้ข้อมูลภายในประกอบด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะใช้วิธี มีการกล่าวโทษในลักษณะที่รุนแรง หรือในกรณีซึ่งควรจะเข้าข่ายปรับ ได้แจ้งให้ผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ผู้กระทำความผิดไม่ยอม อยากจะสู้คดีในศาล ก็จะต้องมีการกล่าวโทษกันภายหลัง
แต่ทีนี้ กรณีนี้ที่บรรยายมานั้น ถามว่า ก.ล.ต.พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความผิดรุนแรงหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร อยากเรียนว่า ก.ล.ต.พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความผิดที่ไม่ได้เข้าข่ายรุนแรงที่จะไปกล่าวโทษ เป็นความผิดที่จะเสนอเปรียบเทียบปรับ โดยมีเหตุผล 3 ข้อด้วยกัน คือ
1. เป็นความผิดเฉพาะในเรื่องของ 2 มาตรานี้ 246 , 247
2. กรณีของนายพานทองแท้นั้น ที่ผิดในการรายงานนั้น ผิดไม่ได้เกิดจากการเข้าไปซื้อหุ้นชินโดยตรง แต่ผิดเนื่องจากการเข้าไปเป็นกรรมการในบริษัทแอมเพิล ริช ซึ่งถือหุ้นในชินอีกต่อหนึ่ง ไม่ได้มีพฤติกรรมในการไล่ซื้อหุ้นเพื่อจะเข้าไปครอบงำกิจการ ไม่ได้มีพฤติกรรมที่จะเข้าไปร่วมในการเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริษัท เปลี่ยนกรรมการหรือผู้บริหาร
3. ไม่ได้เกี่ยวพันกับความผิดเรื่องอื่นๆ เพราะฉะนั้นความผิดในเรื่องนี้จึงเข้าหลักเกณฑ์ที่จะทำการเสนอเปรียบเทียบปรับ ซึ่งทาง ก.ล.ต. จะเสนอคณะกรรมการให้ดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 2 ที่อยากจะชี้แจงคือเรื่องของหุ้นชิน ซึ่งเป็นของบริษัทแอมเพิล ริช มีผู้สงสัยว่า บริษัทแอมเพิล ริช เอาหุ้นชินไปฝากไว้กับใคร ฝากไว้เพื่อที่จะเอาไปซื้อขายหุ้นในลักษณะพยุงราคาหรือไม่ มีการใช้ข้อมูลภายในหรือไม่ แล้วก็แอมเพิล ริช จริงๆ แล้วมีกี่บริษัท 1 หรือ 2 บริษัท เรื่องนี้เรียนว่า จากข้อมูลที่เราได้ตรวจสอบ การฝากหุ้นของบริษัทแอมเพิล ริช นั้น มีกระบวนการที่เกิดขึ้นคือว่าวันที่ 11 มิ.ย. 42 เป็นวันแรกที่แอมเพิล ริช ซื้อหุ้นชิน เมื่อซื้อแล้วก็เอาไปฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์แอสเซท พลัส 32.92 ล้านหุ้น ในกรณีนี้ ที่อยู่ที่ปรากฏในทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นนั้น ก็เป็นชื่อของบริษัทแอมเพิล ริช โดยตรง แล้วที่อยู่ก็เป็นที่อยู่ตาม (1) คือ 185 เอ โกลด์ฮิลล์ เซ็นเตอร์ ทีนี้หลังจากนั้นหุ้นแยกออกเป็น 2 ก้อน ก้อนหนึ่ง 22.92 อีกก้อนหนึ่ง 10.00 สองก้อนนี้ เดินทางแตกต่างกัน 22.92 นั้น วันที่ 13 เม.ย. 43 ยังฝากไว้ที่ บล.แอสเซทพลัส เช่นเดิม แล้ว 17 ส.ค. 43 ก็ยังฝากไว้ที่แอสเซทพลัส เช่นเดิม ถัดมาก็อีกเช่นเดียวกัน 21 ส.ค. 44 จนกระทั่งสุดท้าย ย้ายจากแอสเซทพลัส ไปที่ยูบีเอส สิงคโปร์ แล้วเพิ่ม แตกพาร์จาก 22.92 ล้านหุ้น เป็น 229.2 ล้านหุ้น
ปัญหาของตัว 22.92 มันเป็นอย่างนี้ คือเดิมตั้งแต่ฝากไว้ที่ บล.แอสเซทพลัส เขาก็แจ้งที่อยู่ และรายชื่อของผู้ถือหุ้น ไปที่บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ หรือ ทีเอสดี เป็นแอมเพิล ริช แล้วที่อยู่ที่ 1 แล้วก็เป็นอย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งหลังวันที่ 17 ส.ค. 43 ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 44 ทางแอมเพิล ริช แจ้งที่อยู่ใหม่ไปให้กับบริษัทหลักทรัพย์แอสเซท พลัส ซึ่งเป็นที่อยู่ (2) ตรงนี้เลยทำให้พอมีการปิดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น ถึงแม้ว่าหุ้นที่ฝากไว้ที่บริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัส 22.92 ล้านหุ้นนั้น จะเป็นชื่อแอมเพิล ริช เหมือนเดิมอยู่ก็ตาม แต่ที่อยู่ได้เปลี่ยนไปจาก (1) เป็น (2) เลยทำให้คนสงสัยว่ามันยังเป็นบริษัทเดียวกันหรือไม่ ผมยืนยันว่า กรณีนี้ หุ้นที่ฝากไว้กับแอสเซทพลัสนั้น เดิมปรากฏที่อยู่เป็น (1) แล้วหลังจากนั้นทางบริษัทแอมเพิล ริช ได้มีการแจ้งแอสเซทพลัส เปลี่ยนที่อยู่จาก (1) เป็น (2) แอสเซทพลัสก็เลยแจ้งไปที่บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ เปลี่ยนที่อยู่จาก (1) เป็น (2)
ทีนี้หุ้นอีกก้อนหนึ่งคือหุ้น 10 ล้าน อันนี้เปลี่ยนผู้ฝากหลายรายด้วยกัน ครั้งแรกฝากไว้ที่วิกเกอร์ บาลาดส์ ที่สิงคโปร์ ถัดจากนั้น 17 ส.ค. 43 ย้ายมาที่นววิกเกอร์ บาลาดส์ ที่อยู่เมืองไทย เพราะวิกเกอร์ บาลาดส์ สิงคโปร์ กับนววิกเกอร์ บาลาดส์ เป็นบริษัทอยู่ในเครือเดียวกัน หลังจากนั้น 21 ส.ค. 44 ก็ย้ายไปที่ยูบีเอส สิงคโปร์ อีก แล้วก็คาอยู่จนกระทั่งสุดท้ายแอมเพิล ริช ขายหุ้นชินออกมา ทีนี้ปัญหาของหุ้น 10 ล้านนี้ เกิดตรงนี้ คือ ตอนที่ฝากไว้กับวิกเกอร์ บาลาดส์ สิงคโปร์นั้น วิกเกอร์ฯ ไม่ได้แจ้งบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ว่าผู้ถือหุ้นเป็นแอมเพิล ริช แต่ไปแจ้งเป็นชื่อตัวเอง ทีนี้ถามว่าการที่ผู้รับฝากหลักทรัพย์ไปแจ้งบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ว่าหุ้นเป็นชื่อตัวเอง เป็นวิธีปฏิบัติที่เกิดขึ้นหรือไม่ อยากเรียนว่า วิธีปฏิบัติ คือกฎระเบียบของทางบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์กำหนดไว้ว่า กรณีที่บริษัทใดรับฝากหุ้นแทนผู้อื่น เวลาแจ้งให้แจ้งชื่อผู้ที่เป็นผู้รับผลประโยชน์สุดท้ายจริงๆ แต่กรณีที่ผู้รับฝากหลักทรัพย์อยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถจะไปบังคับเขาได้ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาจึงจะเห็นได้ว่ากรณีผู้รับฝากหลักทรัพย์อยู่ต่างประเทศนั้น มีทั้งกรณีที่แจ้งชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงก็มี และแจ้งชื่อบริษัทผู้รับฝากอย่างเดียวก็มี เพราะฉะนั้นในช่วง 13 เม.ย. 43 ฝากไว้ที่วิกเกอร์ฯ เขาได้แจ้งชื่อเป็นชื่อของวิกเกอร์ฯ สิงคโปร์
ถัดมาพอย้ายมาที่นววิกเกอร์ฯ ในเมืองไทย นวฯ ก็แจ้งชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของอย่างแท้จริงเป็นแอมเพิล ริช แล้วที่อยู่ก็แจ้งที่อยู่ตาม (1) ก็เลยกลายเป็นว่าที่อยู่ที่ทางนววิกเกอร์ฯ แจ้ง มันแตกต่างจากที่อยู่ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัสแจ้ง (1) กับ (2) และที่มีปัญหาอีกอย่างก็คือว่า ตอนที่นววิกเกอร์ฯ แจ้งนั้น ไม่ได้แจ้งชื่อสัญชาติของแอมเพิลริช ว่าเป็นบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ แต่ไปแจ้งชื่อสัญชาติว่าเป็นอิงลิช อันนี้คือปัญหาที่เราจะต้องค้นข้อเท็จจริงว่าเกิดอย่างไร
นอกจากนี้ หลังจากนั้น 21 ส.ค. 44 มีการย้ายหุ้นจากนววิกเกอร์ฯ ไปยูบีเอส สิงคโปร์ 10 ล้านหุ้น ก็มีปัญหาอีก ว่ายูบีเอสในตอนนั้นแจ้งมาว่าซื้อจากตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้แจ้งว่าเป็นการโอนหุ้นโดยที่ไม่ได้ซื้อ แจ้งแล้วอ่านได้ความเสมือนหนึ่งว่าตัวเองไปซื้อหุ้นมา แล้วก็ไปซื้อมาจากตลาดหลักทรัพย์ เมื่อพิจารณาข้อมูลต่างๆ ประกอบตามนี้แล้ว ผมอยากเรียนว่า หลังจากที่เราได้สอบถามข้อมูลจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทางบริษัทนววิกเกอร์ฯ นั้น แจ้งยืนยันว่าการที่เขาแจ้งสัญชาติของบริษัทแอมเพิล ริช เป็นอิงลิชนั้น แต่แท้จริง ได้มีการตรวจสอบเอกสารในการเปิดบัญชีของบริษัทแอมเพิล ริช กับบริษัทหลักทรัพย์นววิกเกอร์ฯ แล้ว พบว่าแอมเพิล ริช ได้แจ้งเอกสารประกอบการเปิดบัญชีเอาไว้ว่าเป็นบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ตั้งแต่ต้น จริงๆ แล้วแอมเพิล ริช ไม่เคยแจ้งสัญชาติว่าเป็นอิงลิช ผู้ที่แจ้งสัญชาติแอมเพิล ริช ว่าเป็นอิงลิชไปที่ทางทีเอสดีนั้นก็คือ บริษัทหลักทรัพย์นววิกเกอร์ฯ นั่นเอง
กรณีนี้อยากเรียนด้วยว่า ในเรื่องของที่อยู่กับที่ตั้งนั้น สำหรับบริษัทแอมเพิลริชนั้น หลังจากการตรวจสอบแล้ว ก.ล.ต.เห็นว่ามีสถานที่ตั้งในการจดทะเบียนนั้นมีอยู่ที่เดียว คือที่บริษัทแมตเทอร์สัน ทรัสต์ คอมปานี (บีวีไอ) ลิมิเต็ด po.box 3151 ถนนที่เรียกว่า Road Town ตอล่า และบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ แต่ว่าในเรื่องของที่อยู่สำหรับการติดต่อนั้น มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่อยู่เดียวกันกับที่อยู่ของที่เราจดทะเบียน แล้วที่ผ่านมา ที่อยู่ทั้ง (1) และ (2) อยากเรียนให้ทราบว่าทั้งสองแห่งนั้น ทางบริษัทแอมเพิลริชได้ยื่นแบบ 246-2 แจ้งที่อยู่ทั้ง 2 แห่งนี้มาที่ ก.ล.ต.ตั้งแต่ปี 2542 นอกจากนั้น ปี 2543 เอกสารที่แจ้งมาก็ปรากฏที่อยู่ทั้งสองแห่งมาด้วยเช่นกัน
อีกประการหนึ่ง ทาง ก.ล.ต.ได้รับหนังสือรับรอง ลงวันที่ 16 ก.พ. 2549 จากนายทะเบียนบริษัท ของอังกฤษ จากอิงแลนด์แอนด์เวลส์ จากประเทศอังกฤษ ยืนยันว่าเขาได้ค้นข้อมูลย้อนหลังไป 20 ปีแล้ว ไม่พบว่ามีการจดทะเบียนบริษัทในอังกฤษและเวลส์ ภายใต้ชื่อ แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจากข้อมูลตามที่เราตรวจสอบตามนี้แล้ว ทาง ก.ล.ต.จึงเห็นว่าแอมเพิล ริช มีเพียงบริษัทเดียว แต่ว่ามีที่อยู่ที่เขาบอกว่าให้ส่งเอกสารในการติดต่อ ส่งจดหมายในการติดต่อนั้น 2 ที่อยู่ แล้วก็ได้เคยแจ้ง 2 ที่อยู่นั้นมาที่ทาง ก.ล.ต.ไว้ก่อนหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นที่บอกว่าสัญชาติอิงลิชนั้น ก็เป็นเรื่องที่ทางบริษัทหลักทรัพย์นววิกเกอร์ฯ ได้แจ้งไปที่ ทีเอสดี เอง แต่เอกสารประกอบการเปิดบัญชีของแอมเพิล ริช นั้นระบุสัญชาติบริษัทชัดเจนว่าเป็นบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์
มีคำถามเพิ่มว่า ในประเด็นที่ยูบีเอส แจ้งว่า ซื้อมาจากตลาดหลักทรัพย์ เราก็เลยได้สอบถามไป ในวันนั้นถ้ายูบีเอสเป็นการซื้อจากตลาดหลักทรัพย์จริง ในจำนวน 10 ล้านหุ้น มันจะต้องไปปรากฏในรายงานการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ ในวันที่ 21 ส.ค. 2544 ทาง ก.ล.ต.ไปตรวจสอบแล้ว ในวันนั้นการซื้อขายหุ้นชิน รวมหมด ไม่ว่าจะกระดานหลัก กระดานต่างประเทศ หรือกระดานรายใหญ่ หรือบิ๊กล็อต รวมกันมีอยู่แค่ 7 แสนกว่าหุ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ยูบีเอสจะได้หุ้นมาโดยการซื้อ ในที่สุดได้สอบถามไปยูบีเอส สิงคโปร์ ได้มีหนังสือลงวันที่ 21 ก.พ. 2549 ชี้แจง ก.ล.ต.ว่า เป็นการรายงานผิดพลาด ว่า โดยที่ถูกต้องแล้ว ตัวเองไม่ได้ซื้อ แต่ตัวเองรับโอนหุ้นชินมาจากวิกเกอร์ฯ เพื่อทำหน้าที่ให้บริการคาสตอเดียนเท่านั้น เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว
สุดท้ายมีข้อกังวลว่า การที่แอมเพิล ริช เอาหุ้นไปฝากไว้ 2 ก้อน 22.9 ล้าน กับ 10 ล้าน กับบุคคลต่างๆ มาเอาไปในการซื้อขายเพื่อพยุงราคาหรือไม่ เอาไปเป็นการซื้อขายเพื่อจะปั่นหุ้นหรือใช้ข้อมูลภายในหรือไม่ คาสตอเดียน และโบรกเกอร์ ทั้ง 4 ราย ไม่ว่าจะเป็น บริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัส, วีเคดี สิงคโปร์, นว วีเคดี และยูบีเอส ได้มีหนังสือยืนยันมาว่าหุ้นชินฯ ที่แอมเพิล ริชฝากไว้ทั้ง 2 ก้อน ไม่เคยมีการซื้อขาย ยกเว้นหัวกับท้าย ระหว่างนั้นไม่เคยมีการซื้อขาย เพราะฉะนั้น ก.ล.ต.สรุปว่า แอมเพิล ริช มีเพียงบริษัทเดียว และไม่เปลี่ยนแปลงจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ ยกเว้นไปสปีดพาร์ จาก 10 บาทเป็น 1 บาท เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่พบว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา 246 หรือ 247 อย่างใด
ก่อนจะเปิดให้สอบถามคำถามต่างๆ อยากจะเรียนให้ทราบว่า มีคนหยิบยกประเด็นขึ้นมาว่า มีประเด็นที่ ก.ล.ต.ควรจะตรวจสอบในเรื่องนั้น เรื่องนี้ ลักษณะนั้น ลักษณะนี้ แล้ว ก.ล.ต.ได้ดำเนินการหรือไม่ ถ้าทำผลเป็นอย่างไร ถ้าไม่ทำทำไมไม่ทำ ประเด็นแรก คือการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นในแอมเพิล ริช ให้นายพานทองแท้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ต่อมาแอมเพิล ริช ในปี 2548 มีการเพิ่มทุน แล้วมีนางสาวพิณทองทาเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนนั้นด้วย มีคำถามว่า ทั้ง 2 กรณีนี้ ก.ล.ต.ได้ตรวจสอบว่า มีการชำระเงินค่าหุ้นแอมเพิล ริช กันจริงหรือไม่ อยากเรียนว่า ก.ล.ต.ไม่ได้ตรวจสอบ แล้วไม่ได้สั่งให้บุคคลใดนำส่งเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากว่า ในตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นแอมเพิล ริช ให้แก่นายพานทองแท้ แอมเพิล ริช มีทุนจดทะเบียนเพียง 1 หุ้น ราคา 1 เหรียญสหรัฐ ต่อมาเมื่อบริษัทเพิ่มทุน ก็เพิ่มจาก 1 หุ้น โทษทีเพิ่มทุนจาก 1 เหรียญสหรัฐ ไปเป็น 5 เหรียญสหรัฐเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นจำนวนที่เกี่ยวข้อง จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อยไม่เป็นเหตุให้สงสัยว่าจะไม่มีการซื้อหุ้นแอมเพิล ริชกันจริง แล้วกรณีอื่นๆ ที่ผ่านมา ก.ล.ต.ใช้ข้อยุติจากหลักฐานทะเบียนผู้ถือหุ้น ซึ่งมีผู้มีอำนาจรับรองจากต่างประเทศ หรือเรียกว่า โนเตอรี่พลับบิกเช่นนี้
คำถามที่ 2 กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นชินให้กับแอมเพิล ริช เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 จำนวน 2.9ล้านหุ้น มีคำถามว่า แล้ว ก.ล.ต.ตรวจสอบว่ามีการชำระเงินค่าหุ้นชินอันนั้นจริงหรือไม่ ต้องเรียนอย่างนี้ว่า มาตรา 246 กำหนดให้บุคคลที่ได้หุ้นมามีหน้าที่เฉพาะจะต้องรายงานการได้หุ้นนั้น แล้วการปฏิบัติ การพิจารณาว่ามีการปฏิบัติตามมาตรา 246 ถูกต้องหรือไม่นั้น ไม่ได้คำนึงว่าการได้หุ้นนั้นมามีการชำระราคากันจริงๆ หรือไม่ มีการชำระราคากันเรียบร้อยแล้วหรือไม่ หรือว่ามีการชำระราคากันแล้วเมื่อใด เพราะฉะนั้นการค้นหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวจึงไม่มีผลใดๆ ต่อการพิจารณาว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายหลักทรัพย์ แล้ว ก.ล.ต.ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปดำเนินการ
ประเด็นที่ 3 มีคนถามว่า แล้วการที่แอมเพิล ริช ถือหุ้นในชินฯ เป็นการถือแทน พ.ต.ท.ทักษิณ หรือเปล่า ขอเรียนย้ำอีกว่า ก.ล.ต.ไม่ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาตรวจสอบพิเศษ เนื่องจากว่ามีหลักฐานว่า นายพานทองแท้ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของแอมเพิล ริช ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2543 และนายพานทองแท้แจ้งว่า แอมเพิล ริช เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ประกอบกับนายพานทองแท้เป็นบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว เพราะฉะนั้น ก.ล.ต.ไม่มีเหตุใดที่จะสันนิษฐานว่า แอมเพิล ริช ถือหุ้นในชินฯ แทนบุคคลอื่น แล้วกรณีอื่นๆ จะพิจารณาเช่นนี้ด้วย
อย่างไรก็ดีอยากเรียนว่า การที่ ก.ล.ต.ไม่ได้ขอข้อมูลดังกล่าวข้างต้นเนื่องจากว่า ไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหลักทรัพย์ หากหน่วยงานทางการใดมีอำนาจและหน้าที่ แล้วมีข้อสงสัยประสงค์จะตรวจสอบการปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมายอื่น หน่วยงานทางการย่อมสามารถสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องส่งมอบเอกสารหลักฐานเพื่อการตรวจสอบได้โดยตรงอยู่แล้ว
อีก 2 ประเด็น ประเด็นแรก มีการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นหรือไม่ ประเด็นนี้ยังมีการตรวจสอบว่า มีคนสงสัย อาจจะมีการใช้ข้อมูลภายในโดยผู้บริหารของบริษัทในกลุ่มชินฯ ในการซื้อขายหุ้นชินฯ ก็ดี ในการซื้อขายหุ้นแอดวานฯ ก็ดี เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่แล้วยังไม่แจ้งผลมายัง ก.ล.ต. แต่อย่างน้อย ก.ล.ต.ได้มีข้อสรุปแล้ว 1 กรณี คือ กรณีที่นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ซื้อหุ้นชินฯ จากแอมเพิล ริช ในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด แล้วต่อมาบุคคลทั้งสองได้ขายหุ้นนั้นออกไปในราคา 49.22 บาท ข้อเท็จจริงปรากฏว่า แอมเพิล ริช เป็นบริษัทซึ่งมีเฉพาะบุคคลทั้งสองถือหุ้นอยู่รวมกัน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นการซื้อขายหุ้นระหว่างกัน ที่กระทำกันนอกตลาดไม่ว่าจะราคาเท่าไรไม่มีผลให้ผู้ซื้อ หรือผู้ขาย หรือบุคคลอื่นใด ได้เปรียบเหรือเสียเปรียบจากการกระทำดังกล่าว เพราะฉะนั้นไม่เข้าข่ายในการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขายหุ้นชินฯ
สุดท้าย ประเด็นที่มีคนหยิบยกขึ้นมาว่า หลังจากมีการขายหุ้นชินฯ ให้กับกลุ่มเทมาเส็กแล้ว มีการโอนหุ้นระหว่างบริษัท ซีด้าโฮลดิ้ง และบริษัท แอสเปน โฮลดิ้ง แล้วไม่มีรายงานมาที่ ก.ล.ต. อันนี้ผิดหรือเปล่า แล้ว ก.ล.ต.ดำเนินการหรือไม่ อย่างไร ขอเรียนว่า ในการทำคำเสนอหุ้นชินฯ และหุ้นแอดวานซ์ฯ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549 ทั้ง 2 บริษัทได้ระบุในคำเสนอซื้อหลักทรัพย์แล้วว่าเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน เขาระบุแล้วว่าเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน เพราะฉะนั้นการโอนหุ้นระหว่างบุคคลในกลุ่มเดียวกันไม่เกิดหน้าที่ต้องยื่นรายงานใดๆ