xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองไทย...ใกล้ความฝัน (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน) (montree4life@yahoo.com)

ผมติดตามการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตยด้วยความสงบครั้งที่ผ่านมา ผมถือว่าเป็นข่าวดีที่เป็นไปด้วยความสงบเยี่ยงการชุมนุมของปัญญาชน ต้องขอชมผู้เข้าร่วมชุมนุมอย่างสงบสะท้อนความเป็นประชาธิปไตย เสรีภาพปวงชนและความเป็นปัญญาชนของผู้ชุมนุมอย่างดี และขอชมหน่วยงานฝ่ายรัฐบาลที่ช่วยกันดูแลป้องกันเหตุร้ายได้ดีด้วย สะท้อนวุฒิภาวะที่ดีของรัฐบาลนายกฯทักษิณที่น่าชมเชยยิ่งเช่นกัน

ในเรื่องหุ้น ผมอยากให้นักลงทุนรับทราบว่า ศัตรูตัวฉกาจของตลาดหุ้นคือ “ความไม่แน่นอน” นักลงทุนอาจไม่ต้องคาดหวังผลของความแย้งว่าเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ชอบ และทำให้ต้องระวังมาก ๆ คือสถานการณ์ “ความไม่แน่นอน” ขณะที่ยังไม่มีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนควรระวังเป็นพิเศษ และเมื่อ “ความไม่แน่นอนลดลง” ก็เป็นสัญญาณที่ดีได้

ผมอยากเห็นความเป็นธรรมในการพูดจากกันให้ครบด้าน เมื่อมีการพาดพิงควรให้มีโอกาสชี้แจง ผมเป็นคนมองโลกและมองคนในแง่ดี ผมอยากมีโอกาสร่วมให้ความเป็นธรรมผู้ถูกพาดพิงด้วย

มีการกล่าวเทียบว่า การขายสินทรัพย์ของครอบครัวในราคาสูงกว่า 100% ของราคาตลาด ก็ดีกว่าการขายสินทรัพย์ของรัฐบาลก่อนหน้าสมัยหลังวิกฤตเศรษฐกิจที่ 18% อย่างมาก ผมขอแสดงความเห็นในแง่บวกดังนี้

1.ผมว่าช่วงนั้น ปรส. ก็ได้ขายด้วยความโปร่งใส หนี้บางส่วนก็ได้ราคา 43% บางส่วนสามสิบกว่าเปอร์เซนต์ บางครั้งจะมีการกล่าวหาว่า เอื้อแต่ต่างชาติให้ซื้อ ผมได้ติดตามในช่วงนั้น จำได้ว่า กลุ่มเศรษฐีไทยก็ได้ร่วมซื้อมากมาย บางกลุ่มเช่นกลุ่มเกียรตินาคินก็ได้ประมูลซื้อไปได้ดีทีเดียว ขณะเดียวกัน เศรษฐีไทยบางกลุ่มอาจซื้อไม่ได้เพราะอาจให้ราคาต่ำเกินไป แต่เราก็ไม่ควรกล่าวหาว่าขายต่างชาติถูกๆ ถ้ากลุ่มคนไทยให้ราคาต่ำกว่า เพราะส่วนต่างคือประโยชน์ของชาติ แต่ที่แน่ๆ ไม่ควรให้ลูกหนี้ซื้อของตัวเองคืนในราคาถูก เพราะจะทำให้เสียวินัย ลูกหนี้ดีจ่ายเต็ม ลูกหนี้ชักดาบจ่ายน้อย ต้องรักษาวินัย เพื่อจูงใจให้คนสัตย์ซื่อต่อกัน เพื่อรักษาระบบเครดิตจนสำเร็จ

2.หลังจากนั้นก็ยังมีการขาย NPL คล้าย ๆ กันของหลายธนาคาร ระดับราคาเป็นธรรมที่ได้เทียบกับคุณภาพก็ไม่แตกต่างจากครั้งนั้น

3.ผมเคยมีหนี้สินที่ถูกประมูลไป ผมททราบว่าผู้ซื้อจ่ายเพียง 43% แต่ผมต้องชำระเต็ม 100% ผมก็ไม่อยากคิดว่าโง่ แต่เชื่อว่า ความสัตย์ซื่อจะรักษาศักดิ์ศรีของเรา แต่ผมได้ถามผู้ประมูลกึ่งประชดว่า “ดีนะที่ได้เงินคืนไปเต็ม 100% ทั้งที่ต้นทุนที่ประมูลมาเพียง 43%” เขาตอบผมว่า ในการประมูล จะประมูลเป็นยอดรวม อัตราส่วนจึงเป็น “ค่าเฉลี่ย” ราคาหนี้ของผม หากดูตามประวัติแล้ว เขาคงได้คำนวณที่ประมาณใกล้ 100% โดยต้องไปเฉลี่ยกับลูกหนี้รายอื่น ซึ่งบางรายอาจเป็นศูนย์ ผมจึงเข้าใจและหมดปัญหาคาใจ

4.ในช่วงกู้วิกฤตนั้น มีความท้าทายในการทำความเข้าใจกับประชาชนว่า มาตรการยึดวินัยกับลูกหนี้ ไม่ใช่ “อุ้มคนรวย ไม่ช่วยคนจน” แต่เน้นที่ “ต้องเป็นธรรมต่อลูกหนี้ที่สัตย์ซื่อ ไม่ให้เสียเปรียบลูกหนี้ที่ชักดาบ” มากกว่า แต่เราก็ทำสำเร็จ ทำให้ไทยเราฟื้นวิกฤตก่อนอินโดนิเซียและฟิลิปปินส์นานมาก ประเทศเหล่านั้น หากไม่แก้ปัญหาให้ดี หากจ้องโอกาสใช้อำนาจหาทางให้พวกพ้องซื้อ กิจการ โรงแรม สนามกอล์ฟ ราคาถูกๆ ปิดบังว่าผู้ซื้อมีกำลังจ่ายหนี้ได้ เพื่อให้ได้ส่วนลดสูงๆ ก็จะทำให้เกิดภาระต่อภาครัฐมหาศาล และแก้ปัญหาไม่จบ

5.ผมยังศรัทธาผู้บริหารรัฐบาลยุคกู้วิกฤตมาก ท่านอมเรศ ศิลาอ่อน เป็นผู้บริหารมืออาชีพระดับสูงจากเครือซิเมนต์ไทย ท่านธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นรัฐมนตรีคลังที่ทำให้เรามีเครดิตเรตติ้งสูงสุด A และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯสูงสุด 1,700 จุด และท่านก็ยังเริ่มส่งสัญญาณเตือนนักลงทุนตอนตลาดร้อนแรงเกินควรด้วย ท่านเข้าแก้วิกฤตยามที่บ้านเมืองมืดมนจนประเทศเราพ้น Junk Grade เป็น Investment Grade และสะสมทุนจนพอให้รัฐบาลต่อมาคืน IMF ได้สำเร็จ เป็นความเก่งและความดีที่คนไทยเราไม่ควรลืม

ผมก็ยังเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ก็ได้แก้ไขปัญหาต่อเนื่องมาอย่างดีหลังวิกฤต แต่ผมเชื่อว่า เราอยากเห็นว่า รัฐบาลฝ่ายใดก็ตาม ทั้งเก่ง ทั้งดี และซื่อสัตย์จริงใจกับประชาชน ใครสร้างศรัทธาได้ดีกว่า ก็ได้รับอำนาจจากประชาชนในการบริหาร ก็ถือได้ว่า การเมืองไทย ใกล้ความฝันครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น