xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองไทย...ใกล้ความฝัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด มหาชน) (montree4life@yahoo.com)

ผมเชื่อหลักการที่ว่า “ประชาธิปไตยที่มั่นคง ทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง” ผมติดตามการเมืองไทยในระยะนี้ รู้สึกว่า หากเรามองโลกในแง่ดี อย่างมีความหวังและความฝัน ผมว่าการเมืองไทยก็น่าจะใกล้เคียงความฝันของผมแล้วครับ

เรามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกตั้ง เพื่อแสดงว่า คนส่วนใหญ่เห็นว่า ใครน่าจะเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ และอีกฝ่ายก็ทำงานด้านตรวจสอบ เรามีองค์พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งสุดหัวใจ พระองค์ทรงคอยดูแลความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรไทยทั่วทุกส่วนของประเทศอยู่เสมอ ทรงปกป้องเสรีภาพของประชาชน ทรงสอนให้รู้รักสามัคคี มีวิถีชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทรงมุ่งพัฒนา ทรงสอนถึงการเป็นผู้นำก็พึงพร้อมที่จะรับฟังความเห็นที่อาจจะหลากหลายแตกต่าง และทรงให้กำลังใจให้รัฐบาลและทุกคนที่ทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มที่เสมอมา

เรามีรัฐบาลที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนอย่างท่วมท้น รัฐบาลก็มีความซาบซึ้งใจต่อความไว้วางใจของประชาชนคนส่วนใหญ่ ด้วยคะแนนเสียงที่เหลือเฟือ รัฐบาลก็น่าจะทำงานได้เต็มที่ น่าจะพร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบได้เต็มที่ และพร้อมชี้แจงในข้อกล่าวหาต่างๆให้กระจ่าง สมกับที่ประชาชนได้ไว้วางใจ

สิ่งที่ดีที่สุด คืออำนาจเด็ดขาดภายในพรรค ไม่ว่ากลุ่มใดมุ้งไหนจะคอรัปชันเอาเปรียบประชาชน รัฐบาลก็ย่อมมีอำนาจเต็มที่ที่จะกำจัดไปได้ ไม่ต้องก้มหัวให้เพราะกลัวเสียงไม่เพียงพอ

ล่าสุดมีการขายหุ้นกิจการของผู้ใกล้ชิดผู้นำเป็นมูลค่ามหาศาล กิจการด้านโทรคมนาคม มีนโยบายและกติกาจากภาครัฐเกี่ยวข้องมากมาย ทำให้เป็นที่สงสัยเสมอว่า อำนาจรัฐกับอำนาจทุนทำให้ขาดความโปร่งใสในนโยบายรัฐบาลเพื่อเอื้อต่อธุรกิจเป็นธุรกิจการเมืองหรือไม่ หลังจากการขายหุ้นแล้ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาน่าสงสัยเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์อีกต่อไป หรือปัญหาความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในการประกอบธุรกิจเดิม (ถ้ามี) ก็น่าจะถูกแก้ไขให้หมดไปได้ ผมเชื่อว่า น่าจะไม่มีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับทุนต่างชาติ ในอนาคตด้วยเช่นกัน

รัฐธรรมนูญก็เอื้อต่อเอกภาพของพรรคการเมือง โดยให้กติกาว่า ส.ส. จะต้องอยู่ในพรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างน้อย 90 วัน แม้บางคนจะเริ่มบ่นว่าถูกขังด้วยรัฐธรรมนูญ ผมกลับคิดว่า นี่คือเหตุผลโดยตรง ส.ส. พึงเลือกพรรคการเมืองตามนโยบาย และความจริงใจในการพัฒนาประเทศให้เติบโตยั่งยืน ไม่ใช่เพียงรวมกันเพื่อชนะ เพื่อการแสวงหาประโยชน์จนพรรคอาจเสื่อมความน่าเชื่อถือ ก็เพียงแต่คิดจะหาที่ย้ายพรรค ผมว่าโดยกรอบกติกานี้ ส.ส.ทุกคนแทนที่จะ “หา” พรรคที่น่าจะได้คะแนนเสียงดี น่าจะช่วยกัน “ทำ” ให้พรรคได้คะแนนเสียงดี ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงให้ทุกคนในพรรคทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจนได้รับศรัทธาที่ดี ตลอดจนการลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา อันจะทำให้พรรคได้รับความนิยมมากขึ้น

ผมเห็นความหวังของโครงสร้างอำนาจที่น่าจะมี 2 พรรคการเมืองเป็นเสาหลักในการแข่งขันกันสร้างผลงานให้ประชาชน เราเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลปชป. ที่กู้วิกฤตศรัทธาของประเทศได้สำเร็จ จนประเทศกลับมามีระดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade และมีรากฐานที่ดี ฟื้นเร็วกว่าประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่เผชิญปัญหาจาก “วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง” พร้อม ๆ กันด้วย

เราเห็นการทำงานที่คึกคักดูกระฉับกระเฉงอย่างเอกชนของรัฐบาล ทรท. ซึ่งช่วยต่อยอดในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจใหม่ได้ดีเช่นกัน ทรท. ก็มีผลงานความคิดใหม่ ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ปชป.ทำงาน กทม.ก็เห็นผลงานโครงการใหม่ ๆ เป็นรูปธรรม เราทุกคนก็หวังใจว่าทุกรัฐบาลจะร่วมกันนำประเทศไทยให้พัฒนายั่งยืนได้ตลอดไป

สื่อมวลชนยืนหยัดในอุดมการณ์ รายงานความจริงและความเห็นเพื่อปกป้องประโยชน์ของชาติประชาชนก็มีการติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด ทุกคนพร้อมใช้สิทธิคนละเสียงที่จะสนับสนุนให้กำลังใจผู้ตั้งใจจริงในการสร้างประโยชน์ให้บ้านเมือง และสั่งสอนผู้ที่เข้ามาเพียงเพื่อแสวงหาอำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนตน ผมเชื่อว่า หากประชาธิปไตยไทยเติบโตทุก ๆ ด้านได้เช่นนี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตยั่งยืนครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น