xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนความมั่วที่ขาดความแม่น (3) ด้านหลักสูตรวิทยาศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากคำถามว่า “เหตุใด ด้วยปรากฏการณ์ข้างขึ้นข้างแรม เราจึงเห็นพระจันทร์ไม่เต็มดวง” หลายท่านนึกถึง “เงาของโลกไปบังดวงจันทร์” ผมได้คำตอบจากหลายคน ทั้งๆที่เรียนมาจากสถาบันต่างๆกันว่า “เงาโลกไปบังดวงจันทร์ เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบโลกไปในตำแหน่งต่างๆ” ใช่ไหมครับ?

“ไม่ใช่” ครับ ดังภาพที่เห็น เป็นภาพที่เมื่อเรามองไกลๆ จะเป็นพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งไม่ได้เกิดจากเงาโลกไปบังแต่อย่างใด เพราะปรากฎการณ์นั้น เรียกว่า จันทรุปราคา ซึ่งไม่ได้ปรากฏทุกวันเหมือนข้างขึ้นข้างแรม แต่เป็นเพียงเพราะ เมื่อดวงจันทร์หมุนรอบโลกในมุมต่างๆ แสงอาทิตย์จะส่องสว่างเฉพาะด้านที่หันเข้าหา อีกด้านจะมืด ในรอบหนึ่งเดือน มุมที่เราเห็นสัดส่วนด้านมืดและด้านสว่างจะต่างกันในแต่ละวัน

ลองนึกถึงตอนถ่ายรูป เคยสังเกตไหมว่า ถ้ายืนในบางมุม หน้าคนอาจมีแสงสว่างเพียงส่วนเดียว และหน้าจะมืดหากถ่ายย้อนแสง นั่นคือหลักการเดียวกัน หวังว่าหลักสูตรรุ่นใหม่จะสอนกันถูกต้องนะครับ

หลักสูตรวิทยาศาสตร์อีกเรื่องคือ “ทฤษฏีกำเนิดโลกและมนุษย์” ผมคุ้นๆว่าในหลักสูตรมีเพียงทฤษฎีในแนวทางของ ชาร์ล ดาร์วิน (ค.ศ. 1809-1882) ที่เราได้เรียนว่า “โลกและจักรวาล เกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ” หรือ “มนุษย์เป็นวิวัฒนาการมาจากลิง หรือจากวิวัฒนาการของเซลล์เล็ก และมีการปรับตัวเองตามธรรมชาติ”

ขณะที่ผมก็ได้เรียนรู้อีกทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนว่า “ทุกสิ่งเกิดมา โดยมีจุดเริ่มต้น จากพระเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ผู้ทรงเป็นปฐม (Alpha)” แต่เนื่องจาก เราอาจได้รับการสอนมาว่า ความคิดแบบวิทยาศาสตร์คือ “ต้องพิสูจน์ได้ จึงจะเชื่อ” จึงไม่สนใจ
ผมคิดว่าในความเป็นจริง “บางเรื่องพิสูจน์ไม่ได้ ต้องอาศัยความเชื่อ แต่ความเชื่อใดมีเหตุมีผลมากกว่าจึงน่าเชื่อ” เช่น เราเชื่อว่า “จักรวาลนี้ยิ่งใหญ่ไม่สิ้นสุด” เมื่อถามว่า “ทำไม ? พิสูจน์ได้หรือ” เราก็คงตอบได้ว่าเราเชื่อ เพราะข้อมูลต่างๆเป็นเหตุผลให้เชื่อได้เช่นนั้น “แม้ไม่มีทางพิสูจน์ได้”

ทำนองเดียวกัน “กำเนิดของโลกและมนุษย์” ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ เพียงแต่ความเชื่อใดมีเหตุผลมากกว่าเท่านั้น

จากทฤษฎี ชาร์ล ดาร์วิน ที่เราเรียนมา ผมก็แปลกใจว่า หาก “สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเอง” จะลงตัวดีเช่นนี้จริงหรือ? หากท่านเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ แล้วมีคนบอกว่า มันเกิดขึ้นได้เอง ท่านคงไม่เชื่อ เพราะหากไม่ใช่มีผู้สร้างรถคนนั้น ไฟรถจะอยู่อย่างเรียบร้อย 2 ข้าง ล้อรถ เครื่องยนต์ อยู่ในที่ๆควรอยู่อย่างเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นเอง โลกเราล่ะ ภูเขา ท้องทุ่ง ทะเล แหล่งน้ำจืด พืช สัตว์ต่างๆ ชั้นบรรยากาศซึ่งช่วยปกป้องโลกจากความร้อนของแสงอาทิตย์ ฯลฯ “เกิดขึ้นได้เองจริงหรือ ?”

หันมาดูมนุษย์ ซับซ้อนลงตัวยิ่งกว่ารถยนต์อีกเท่าไร ดวงตาของเราหมุนขึ้นลงซ้ายขวาอย่างดี ปิดตาได้ไว คิ้ว ขนตากันน้ำกันเหงื่อ นิ้ว 5 นิ้วสร้างมาต่างกันอย่างลงตัว ฟันน้ำนม ฟันแท้ เป็นซี่อย่างดี เวลาผมยกมือขึ้นมาดู ผมก็พบว่า กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาท ผิวหนัง ถูกสร้างอย่างลงตัว ผมเชื่อว่า “ต้องมีพระเจ้าผู้สร้าง” ดูจะมีเหตุผลน่าเชื่อถือว่า “มันเกิดขึ้นเอง” มาก

เมื่อเทียบกับทฤษฎีว่า “คนเป็นวิวัฒนาการมาจากลิง” ผมแปลกใจว่า หางหายไปทำไม ทำไมไม่มีขั้นตอนวิวัฒนาการระหว่างกลาง ทำไมสุนัขไม่มีวิวัฒนาการเป็นคน 4 ขาบ้าง ผมก็ยังรู้สึกว่า เป็นเพียงความเชื่อที่เหตุผลน้อย

นักวิทยาศาสตร์เช่น เซอร์ ไอแซค นิวตัน (1642-1727) บิดาแห่งวิชาฟิสิกส์ท่านหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (1879-1955) ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ โรเบิร์ต บอยล์ (1627-1691) เป็นผู้เชื่อว่ามีพระเจ้าสร้างโลก แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ใช้ปัญญา เขากลับเข้าใจกระจ่าง และเรียนรู้ว่ามีความรู้ให้มนุษย์ค้นพบ (Discover) อีกมาก

ผมคิดว่าน่าจะนำทฤษฎีทำนองนี้ ประกอบให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้ ได้ถกเหตุผล และเลือกที่จะเชื่อด้วยตนเอง ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญมากต่อมนุษย์ทุกคน มิเช่นนั้น เราก็มักจะงงอยู่เป็นครั้งคราวว่า เราเกิดมาทำไม มีความหมายหรือวัตถุประสงค์เพื่ออะไร แม้ยังตอบไม่ได้เหมือนกัน 100% แต่ผมว่าการถกในเรื่องเหล่านี้ที่หลากหลาย และ “ด้วยเหตุด้วยผล” น่าจะแก้ปัญหา “ความคิดมั่ว” ให้เกิด “ความคิดแม่น” ได้มากขึ้นครับ
มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com)
กำลังโหลดความคิดเห็น