xs
xsm
sm
md
lg

กรณี GMMM กับ MATI กับบทเรียนแห่งการสร้างสันติ (1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และติดตามกรณีที่จีเอ็มเอ็ม มีเดีย (GMMM) กลุ่มแกรมมี่ เข้าซื้อหุ้น 32% ของมติชน และ 24% ของโพสต์ พับลิชชิ่ง ผมก็เห็นว่า เป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่สนใจ หากเกิดความร่วมมือของ GMMM, MATI และ POST จะทำให้มีตลาดที่ครอบคลุม ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ซึ่งหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ บางกอกโพสต์ และโพสต์ทูเดย์ ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่ครอบคลุมตลาดที่ต่างกัน และแทบจะครบทุกประเภท เชื่อว่าจะเป็นความร่วมมือที่มีพลังมาก ทั้งด้านการตลาด ฐานข้อมูล การทำสื่อหลากหลาย การบริการโฆษณา ฯลฯ

ผมมีความเชื่อว่า ผลของการเจรจาก็ถือว่าจบได้ดี ที่ทุกฝ่ายตกลงกันได้ และผมอยากให้เห็นว่า นี่คือชัยชนะของ “การยอมรับกัน” ไม่ใช่ชัยชนะของ “การต่อสู้” กัน เพราะถ้าทุกฝ่ายคิดแต่ต้องการต่อสู้เอาชนะกัน อาจบานปลายกว่านี้ ทั้ง 2 ฝ่ายอาจต้องแข่งกันซื้อ ซึ่งเป็นต้นทุนที่แพงมาก หรือต่างฝ่ายต่างอาจถือหุ้น ที่ไม่สามารถบริหารงานอย่างมีเอกภาพ หรือพนักงานอาจขาดกำลังใจ หรืออาจแยกทีมไปทำหนังสือใหม่ จนเป็นปัญหาต่อนักลงทุนรายย่อยด้วย ไม่ว่าเป็นการต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มีแต่ปัญหาทั้งสิ้น

ผมยอมรับว่า ความเสี่ยงของการคุกคามสื่อโดยอำนาจรัฐโดยตรง หรือโดยอ้อม เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะเสรีภาพของสื่อมวลชน ก็คือเสรีภาพของประชาชน ในการรับรู้ข่าวสาร ผมมองจิตวิญญาณสื่อมวลชนด้วยความเคารพเสมอมา ผมเองก็เชื่อว่า กลุ่มแกรมมี่ ซึ่งทำธุรกิจกับความนิยม และความศรัทธาของประชาชน จะไม่คิดที่จะบิดเบือนจิตวิญญาณสื่อมวลชนอย่างแน่นอน การตกลงกันได้ ที่ผ่านมา เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย

ผมเชื่อว่า หากเรามองกันในแง่ลบมาก จนระแวงกัน ต่างคนต่างก็ทำงานไป แต่ก็ขาดความร่วมมือที่ดีต่อกันได้

การที่เราเปิดใจยอมรับกัน จะทำให้เราไม่พลาดโอกาสที่จะร่วมมือกันในการสร้างประโยชน์เพิ่มร่วมกัน (Synergy) โดยที่เชื่อว่า เราก็ยังสามารถรักษาจิตวิญญาณ และจรรยาบรรณสื่อมวลชน ได้เหมือนเดิม (ขอร่วมรณรงค์พิทักษ์เสรีภาพสื่อมวลชนด้วย) ผมเชื่อว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผมนึกถึงบทเรียนจากหนังสือ “The Purpose Driven Life” เขียนโดยศิษยาภิบาล Rick Warren เรื่องการคืนความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งแม้อาจไม่เกี่ยวกันโดยตรงเสียทีเดียว แต่เชื่อว่า เป็นประโยชน์ต่อการคืนความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งชีวิตคู่ ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ธุรกิจ หรือสังคมโดยรวม ดังนี้ครับ

“ความสัมพันธ์ที่ดีมีค่า และคุ้มค่าต่อการคืนดีเสมอ”
ผมเชื่อว่าเพราะว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข ที่ใดขาดรัก ที่นั่นมีทุกข์” ความรักมีคุณค่าเสมอ และคุ้มที่จะทุ่มเทรักษาความสัมพันธ์ หรือคืนความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แทนที่จะละเลย หรือปล่อยให้ความขัดแย้ง หรือความเจ็บปวด มาทำให้เรามัวแต่คิดวนเวียน จดจ่อถึงปัญหาที่มีต่อกัน ความบกพร่องของกันและกัน และคอยทบทวนปมเหล่านั้น ให้เผาผลาญเราในใจ ต่างคนต่างอยู่ แม้เราจะยิ่งข่มใจ ตั้งใจลืมมัน มันก็ยิ่งรบกวนเรา ทำให้มีแต่การจับผิดกัน เพื่อพยายามสรุปว่า “ฉันถูก เขาผิด”

ทางที่ดี เราหันมามองส่วนดีของกัน มีความรักที่อดทนนาน ไม่ช่างจดจำความผิด เชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนต่อทุกอย่าง ก็น่าจะช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาได้

มีข้อพระคัมภีร์บอกว่า “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร” Rick ได้ขยายความอย่างน่าสนใจว่า พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า “บุคคลที่รักสันติให้เป็นสุข” เพราะทุกคน ย่อมรักที่จะให้ตนเองมีสันติภาพอยู่แล้ว และก็ไม่ได้เขียนว่า “บุคคลที่มีสันติให้เป็นสุข” คือมีสันติสุขได้ โดยไม่มีสิ่งใดรบกวน

แต่ “ผู้สร้างสันติ” จึงเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นงานที่ยาก เพราะต้องใช้พลัง และความอดทนสูง แต่เชื่อว่า การสร้างสันติ มีคุณค่า และมีความหมายอย่างยิ่ง อย่างที่คนไทยเราทุกคน ก็มุ่งหวังว่า เราจะสร้างสันติกับปัญหาใน 3 จังหวัดภาคใต้ให้ได้ สัปดาห์หน้า ผมจะเสนอเทคนิค 7 ประการที่ Rick Warren ได้เสนอไว้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น