xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนจากภาพยนตร์ War of the World

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (montree4life@yahoo.com)

แล้วผมก็ได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี เรื่อง War of the World ผมถือว่า ใกล้เคียงกับเรื่องที่ผมเดาทีเดียว ผมขอไม่วิจารณ์เรื่องความสนุกของภาพยนตร์ สำหรับผม คนชอบชมภาพยนตร์ และมองโลกในแง่ดี จึงมักรู้สึกสนุกเสมอ ฉากต่างๆ ถือว่าลงทุนมหาศาล และผมว่ามีบทเรียนมากมาย ผมจะไม่ขอลงรายละเอียดของเรื่อง เพื่อพยายามรักษาอรรถรสในการชมภาพยนตร์ให้มากที่สุด แต่ผมรู้สึกถึงบทเรียนหลายเรื่อง ซึ่งหวังว่าเป็นบทเรียนที่เป็นประโยชน์ โดยผมขอสรุปดังนี้

1.แม้เรย์ พระเอกของเรา จะเป็นคนที่หล่อ และทำงานเก่ง ฐานะก็ใช้ได้ (พิจารณารถที่ใช้) แต่ค่อนข้างเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำให้ภรรยารับไม่ได้ในที่สุด ต้องพาลูกไปแต่งงานกับคนอื่น แม้กระนั้น ก็ยังกลับบ้านมารับลูกช้า ดูแลลูกก็มีปัญหา แม้ในใจจะรักลูก แต่ด้วยการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แม้คนใกล้ชิดที่ลึกๆ แล้ว รักกันมากที่สุดก็ยังไม่รู้สึกอยากอยู่ใกล้ชิด การไม่สนใจ ไม่ใส่ใจคนรอบข้าง และเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง เป็นจุดตั้งต้นของ War of the World ที่มีอยู่ทั่วไปอยู่แล้วในสังคมปัจจุบันจริงๆ

2.ผมเชื่อว่า หากเราทุกคนมักจะมองชีวิตของเราเป็นดังละคร เราก็คือพระเอกนางเอกของเรื่อง ผมชอบใจที่เรื่องนี้ก็เน้นว่า พระเอกเป็นคนหล่อและเก่ง รักครอบครัว แต่แสดงออกไม่เป็น และเป็นคนที่มีลักษณะเห็นแก่ตัว รู้สึกถึงบทเรียนจากตัวเอก ว่าอย่ามัวแต่เชื่อว่า “คนอื่นผิด คนอื่นไม่ดี คนอื่นต้องแก้ไข เราดีอยู่คนเดียว” สิ่งที่ทำให้คนดีขึ้นเรื่อยๆ คือการที่ยังยอมรับ ว่าเรายังเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์ เรายังมีจุดที่ควรดูตัวเราเอง เพื่อปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ

3.การแก้ปัญหาในสภาวะวิกฤต ต้องใช้ 2 ปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ สติปัญญา และความเร็ว (ผมยังไม่อยากระบุตัวอย่างรายละเอียดภาพยนตร์) ผมเชื่อว่าทั้ง 2 ปัจจัย ก็เป็นหลักการในการใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงจริงๆ

4.ดูเหมือนภาพยนตร์พยายามสะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนของมนุษย์ โดยเฉพาะการแย่งรถยนต์ ซึ่งมีอยู่จำกัด ไม่เพียงพอ การแก้ปัญหา จะเป็น World of the World ที่ทำร้ายคนกันเอง โดยที่มนุษย์ต่างดาวไม่ต้องลงมือเสียด้วย ผมเกิดแรงบันดาลใจเทียบกับเรื่องน้ำมันที่ขาดแคลน (โดยใช้รถเป็นสื่อ) หากเราเรียนรู้ที่จะแบ่งปันกัน เคารพสิทธิความเป็นเจ้าของ เพื่อความอยู่รอดของส่วนรวม ก็น่าจะทำให้ปัญหาลดลงได้มากที่สุด

ผมไม่ขอวิจารณ์ผลกระทบต่อปัญหาที่เป็นเรื่องจริงในปัจจุบัน ผมเพียงแต่คาดหวังว่า เราชาวโลก ก็จะแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยสันติ แบ่งปันกัน เคารพสิทธิมนุษยชน เคารพความเป็นเจ้าของ และสิ่งที่เห็นได้ชัด คือนโยบายที่ปฏิบัติต่อผู้บริสุทธิ์ ศรัทธาของชาวโลก จะมองที่ใครห่วงใยประชาชนผู้บริสุทธิ์ ใครหวังประโยชน์ส่วนตน

5.ในยามลำบาก ความหวัง ยังเป็นพลังงานที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ และนำไปสู่การแก้ไขปัญหา
6.หลายครั้งในชีวิต บางคนก็เลือกมองจุดลบๆ อย่างเป็นทุกข์ แม้กระทั่งเรื่องของเชื้อโรค เรื่องของความป่วยไข้ แต่จะมองไปแล้ว แม้เรายังไม่เข้าใจ แต่บางเรื่องที่เป็นลบ ก็มีประโยชน์ หากเราเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจมัน เช่น เคยมีคนบอกว่า ไม่รู้ว่าโลกนี้จะมีปลวกไปทำไม แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์เห็นคุณค่า ว่าจำเป็นต้องมีเพื่อช่วยกระบวนการ Recycle ไม่ให้เป็นซากตกค้างในระบบ สิงโตโหดร้ายกินกวางก็ต้องมี เพื่อให้ประชากรกวางมีสมดุล โรคเอดส์ ก็อาจช่วยให้คนรู้สำนึก และห่างจากการคบชู้ หรือเที่ยวกลางคืน รวมถึงกลัวการเสพยาเสพติด

ถ้าเราเข้าใจว่า หลายอย่างในธรรมชาติ ก็ถูกสร้างมาอย่างดี เราพึงเรียนรู้เข้าใจมัน มนุษย์เรา ถูกสร้างให้เป็นผู้ครอบครองโลกนี้ พึงจัดการโดยใช้สติปัญญา รักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง มีความสุขในชีวิตที่เป็นจริง โดยไม่เบียดเบียนกัน มีความหวังใจอยู่เสมอ ต่อให้โลกของเราจะต้องเผชิญปัญหาอีกเพียงไร (เพราะในอดีต ก็มีปัญหามาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว) โลกก็ยังน่าอยู่ และเราจะฝ่าฟันปัญหาไปได้ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น