xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนในเทศกาลอิสเตอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย มนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

เทศกาลอิสเตอร์ เป็นเทศกาลเพื่อระลึกถึงการสละชีวิตของพระเยซูคริสต์เจ้าเพื่อไถ่บาปมนุษย์ และ 3 วันต่อมา พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย

ตามหลักการพระคัมภีร์ เมื่อมนุษย์ละทิ้งความเชื่อจากพระเจ้า ก็มักจะมองชีวิตในมุมที่เป็นทุกข์ เห็นเพียงตัวเองเป็นใหญ่ (Self-centeredness) ผลของความบาป ทำให้มนุษย์อิจฉากัน ไม่รักกัน คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ฯลฯ

ทั้งที่พระเจ้าทรงสร้างโลก และสร้างมนุษย์ และมนุษย์ได้หลงไปจากทางของพระองค์ พระองค์ก็รักมากพอ และไม่ประสงค์จะใช้หลักการ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ขณะที่มนุษย์เราเป็นคนบาปดังกล่าว พระองค์ทรงแสดงความรัก (ทั้งๆ ที่เรายังมีบาป และยังไม่รักพระองค์) ถึงขั้นสละชีวิตพระองค์ (เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด)

เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อ และรับความรักนั้น เปลี่ยนแปลงชีวิต ไปจนถึงความรอด เพราะคนเรามักจะรู้ ว่าเห็นแก่ตัวก็ไม่ดี ไม่รักคนไม่ให้อภัยคน ก็ไม่ดี มองโลกเป็นทุกข์ ก็ไม่ดี แต่มักจะยอมให้ตนเองยังอยู่ในความบาปนั้น

โดยอ้างว่าก็เราเป็นเพียงปุถุชน พระเจ้าทรงทราบเช่นนั้น แต่เพราะรัก (ไม่รักจะสละชีวิตให้หรือ) จึงทรงมาเป็นพระผู้ช่วย เพียงเราเชื่อ และวางใจในพระองค์ ความเชื่อนั้นจะช่วยเป็นกำลังใจให้เราเอาชนะตัวตนเก่าของเราได้

ในวันที่ 3 พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย เป็นความอัศจรรย์ที่เกินความเชื่อปกติ แต่เป็นเรื่องจริงตามประวัติศาสตร์ เพราะพระองค์ประกาศไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า พระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3

ฝ่ายทางการในขณะนั้น จึงให้ทหารเฝ้าอย่างแน่หนา เพราะไม่ต้องการให้ใครขโมยพระศพ เพื่อเอาไปอ้างได้ ว่าพระองค์ทรงฟื้นพระชนม์ แต่ปรากฏว่า ไม่มีศพพระองค์ในวันที่ 3 และพระองค์ได้ทรงปรากฏพระองค์กับสาวกมากมาย

ผมเสียดายที่หลายคนยังอาจไม่อยากเชื่อว่า
(1) พระเจ้าทรงสร้างโลก และสร้างเราอย่างดี

(2) พระเยซูคริสต์ทรงรักเราทุกคนอย่างมาก แม้ยังเป็นคนบาป จนสละชีวิตเพื่อเรา ทั้งที่ความเชื่อทั้ง 2 เรื่อง จะนำไปสู่ความชื่นชมยินดีในชีวิตเสมอ

ถ้าเราเชื่อในความอัศจรรย์ทั้ง 2 ประการ เราจะรักโลก รักชีวิต มีความสุขในทุกสถานการณ์ และเราจะมีความรักเพียงพอสำหรับทุกๆ คน ดังพระธรรมข้อใหญ่ 2 ข้อที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนไว้ คือรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (ตรงข้ามกับ Self-Centeredness)

โดยหลักการนี้ เมื่อเราเชื่อในความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะนำไปสู่ “การตรึงชีวิตเก่า” ของเราไปกับพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้รับความบาปผิดไปแล้ว ทำให้เรามีชีวิตใหม่สู่ความรอด ผมเกิดแรงบันดาลใจเป็นบทเรียน ดังนี้ครับ

1. หากเราแต่ละคน “ตรึงชีวิตเก่า” ในชีวิตส่วนตัว เรารักทุกตนรอบข้างเหมือนรักตนเอง คำนึงถึงกันและกันเสมอ รักได้แม้คนที่ยังไม่น่ารัก ให้อภัยได้เสมอ เหมือนที่พระเจ้ารักเรา และให้อภัยเรา
ฯลฯ

2.หากคนไทยเรา “ตรึงชีวิตเก่า” ในสภาวะที่น้ำมันมีราคาแพง การที่รัฐบาลเลิกช่วยให้จ่ายค่าน้ำมันได้ถูกลง ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นตามราคาตลาด เราก็ควรจะอดทน เข้าใจสถานการณ์ ไม่โทษรัฐบาล แล้วช่วยกันแก้ไข ประหยัดพลังงาน ใช้รถร่วมกัน ใช้การเดินทางสาธารณะ ฯลฯ

เมื่อกลุ่มประเทศผลิตน้ำมันกล้าขึ้นราคาน้ำมันสุดโหด เราต้องช่วยกันตอบโต้ ด้วยการยอมรับความจริงที่น้ำมันแพง ใช้น้อยลง ก็จะทำให้ราคาอ่อนลงได้

3.หากการเมืองไทยเรา “ตรึงชีวิตเก่า” เราก็จะเห็นการเมืองสร้างสรรค์ อย่างที่เรากำลังเห็นนิมิตที่ดีหลายเรื่อง สภาอภิปรายเน้นสาระอย่างสร้างสรรค์ เห็นความคิดหลากหลายจากฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่อยากเห็นการประท้วงวุ่นวายน่าเบื่อหน่าย ถึงเกมส์ที่นักการเมืองคิดเพียงเอาชนะกัน แต่ผู้แพ้คือประชาชน

ผมก็หวังว่า ทุกคนจะมุ่งหวังพัฒนา โดยมีความเชื่อ และความหวัง ว่าเป็นจริงได้ ขอเพียงเรารับกำลังใจอย่างเต็มที่ ทุกสิ่งที่หวังเพื่อความพัฒนา จะเดินหน้าสู่ความสำเร็จครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น