xs
xsm
sm
md
lg

บทเรียนจากภาพยนตร์แห่งปี “Passion Of Christ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ผมกำลังเตรียมจะไปชมภาพยนตร์เรื่อง “Passion Of Christ” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะนี้ ทำรายได้ไปแล้วกว่า 300 ล้านเหรียญ สร้างโดย เมล กิบสัน พระเอกชื่อดังจากภาพยนตร์หลายเรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับบรรยากาศวันสุดท้าย ที่พระเยซูคริสต์ทรงสละชีวิตบนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปแทนมนุษย์ ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะเสนอบทเรียนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผมได้รับจากข้อพระคัมภีร์ ดังนี้

พระเยซูคริสต์ได้ให้คำสอน ว่าพระเจ้าเป็นความรัก มนุษย์นอกจากจะควรรักพระเจ้าแล้ว ควรรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ควรรักได้แม้ศัตรู (เพราะถ้าเรารักได้เฉพาะคนใกล้ชิด เราจะต่างอะไรกับคนอื่น ถูกตบแก้มซ้าย ก็ควรอดทนพอที่จะยื่นแก้มขวาให้ตบได้ ซึ่งถ้าในสังคม คนนอกจากจะมุ่งแสวงหาประโยชน์สำหรับตนเองแล้ว ยังมีความคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อผู้อื่น และประโยชน์ส่วนรวม ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจก็จะเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน

ยังมีบทเรียนที่ดีมากบทหนึ่งว่า “แผ่นดินสวรรค์ เปรียบเสมือนชายคนหนึ่ง ก่อนเดินทางไป ได้ฝากสินทรัพย์ให้แก่ผู้รับใช้ให้ดูแลสินทรัพย์ 3 คน ได้ 5 ตะลันต์ (Talent:ซึ่งเป็นหน่วยเงินในอดีต) 2 ตะลันต์ และ 1 ตะลันต์ ตามลำดับ

ตามความสามารถของแต่ละคน คนที่ได้รับ 5 ตะลันต์ นำเงินที่ได้ไปค้าขาย จนกำไรเป็น 10 ตะลันต์ คนที่ได้รับ 2 ตะลันต์ ก็นำเงินที่ได้ไปค้าขาย จนกำไรเป็น 4 ตะลันต์ คนที่ได้ 1 ตะลันต์ กลับนำไปฝังดิน เมื่อนายกลับมา ทุกคนก็ไปรายงานผลกับนาย

นายบอกกับผู้รับใช้ 2 คนแรกที่เพิ่มตะลันต์เป็นเท่าตัวว่า “เจ้าดีและสัตย์ซื่อ จงเปรมปรีดิ์เป็นสุขเถิด” เหมือนกัน และบอกกับคนสุดท้ายว่า “เกียจคร้าน ถ้าแม้รู้จักไปฝากธนาคาร อย่างน้อยก็จะได้ดอกเบี้ยด้วย” ให้เอาทรัพย์สิน 1 ตะลันต์นั้น กลับไปให้คนมี 10 ตะลันต์ ให้เหลือเฟือไปเลย” ผมได้บทเรียนหลายข้อ ดังนี้ครับ

•ตะลันต์ที่แต่ละคนได้รับ ก็คือความสามารถ (Talent) เป็นพรสวรรค์ของแต่ละคน และพรสวรรค์ที่สำคัญ
ยิ่งสำหรับทุกคน ก็คือการพัฒนาความรู้ความสามารถของเรา เพิ่มเติมได้ตลอดเวลา ยิ่งเพิ่มความสามารถ (ไม่ได้เบียดบังจากคนอื่น) ก็ยิ่งได้รับพรมาก

•ความสุขของคน ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีเท่าไร แม้แต่ละคนจะมีพรสวรรค์ไม่เท่ากัน แต่นายก็บอกกับผู้รับใช้ 2 คน
แรกที่มี 5 ตะลันต์ และ 2 ตะลันต์ ว่า “เจ้าดีและสัตย์ซื่อ จงเปรมปรีดิ์เป็นสุขเถิด” เหมือนกัน แสดงว่าความสุข ไม่ขึ้นกับว่า มีมากก็สุขมาก มีน้อยกลายเป็นสุขน้อย

เราจึงไม่ควรคิดเปรียบเทียบอิจฉาใคร เพราะเราควรดีใจ พอใจที่เราเป็นเรา แต่ละคน มีความแตกต่างเฉพาะตัว เราทุกคน จะมีคนที่มีสิ่งต่างๆ เหนือกว่าตัวเราเสมอ และก็มีคนที่ด้อยกว่าตัวเราเสมอเช่นกัน เราจึงไม่ควรให้ความต่างของฐานะ เป็นเหตุให้มีความสุขต่างกัน คนเราเกิดมา ก็ตัวเปล่า ตายไป ก็ตัวเปล่า สิ่งต่างๆ ที่มี ล้วนแล้วแต่เป็นสิทธิ์ชั่วคราว ที่เราได้รับสิทธิ์ในการดูแลอารักขาในช่วงชีวิตของเราเท่านั้น แต่ตราบที่เราพัฒนาพรสวรรค์ของเราอย่างต่อเนื่อง เราก็พึงเป็นสุข

•คนที่ไม่พัฒนาความรู้ความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้น ก็จะถูกริบไปให้กับคนที่พัฒนาตน เมืองไทยเรา ได้
ประโยชน์จากการลงทุนทางตรง เพื่อย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ไต้หวัน มาที่เราอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสิ่งทอ รองเท้า อุปกรณ์อิเลกโทรนิกส์ ตลอดจนอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ที่พวกเราภาคภูมิใจ

คนงานเหล่านั้น ในประเทศที่พัฒนาไปแล้ว หากไม่พัฒนาฝีมือแรงงาน เมื่อมีการย้ายการผลิตมาที่เมืองไทย เขาก็อาจต้องตกงาน (สูญเสียตะลันต์ไป) เราก็เช่นกัน ถ้าเมืองจีน เวียดนาม ซึ่งมีค่าแรงที่ถูกกว่า เมื่อเขาพัฒนาฝีมือแรงงาน จนทดแทนเราได้ ด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า เราก็ต้องทยอยปิดโรงงานไป อย่างที่ได้เห็นกันในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

•คนที่พัฒนาตนเองดีที่สุด ก็จะได้รับรางวัลเพิ่มเติมมากมาย คนส่วนใหญ่ จะใช้ฟิล์มโกดัก หรือฟูจิ ใช้
โปรแกรมวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ เที่ยวเมืองไทย (เชียร์กันหน่อย) เป็นรางวัลของการทำงานให้ดี ซึ่งเป็นหลักธรรมชาติทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็ดูเป็นธรรม ถ้าเราพัฒนาตัวเราให้ดีที่สุด เราส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์อิเลกโทรนิกส์ ได้มาก เราทำอาหารเป็นครัวของโลก เราพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ดูแลต้อนรับชาวต่างชาติที่มาเที่ยว หรือมาลงทุนให้ดี เราจะได้รับรางวัลเพิ่มเติมมากมาย

•คนที่ไม่ทำอะไรเพิ่มเติม ก็เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ คนเราถูกสร้างมาเป็นดังอวัยวะของกันและกันใน
สังคม ผมนึกภาพไม่ออกแล้วครับ ถ้าให้อยู่คนเดียวในโลก เราจะขายของ หรือบริการ ให้ใคร หรือเราจะหาซื้อของอำนวยความสะดวก ได้จากใคร เราถูกสร้างมา เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์แก่กันและกัน เราจึงควรรับผิดชอบต่อกัน คำนึงถึงกันและกัน และดูแลกันและกันเสมอ

ผมได้ยินจากผู้ที่ไปชมมาแล้ว ว่าภาพยนตร์เรื่อง “Passion Of Christ” ทำได้ใกล้เคียงความจริงทางประวัติศาสตร์มาก สร้างความซาบซึ้งในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ คนเราจะเห็นความรักได้ จากความอดทน และเสียสละเพื่อเราเสมอ

ถ้าเราเห็น และยอมรับ ถึงความรักยิ่งใหญ่ ถึงขั้นสละชีวิตของพระองค์ได้ เราก็มีความรักต่อคนรอบข้างได้มาก ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก มีแต่ความอบอุ่น และกำลังใจ องค์กรที่เต็มไปด้วยความรัก จะมีพลัง เศรษฐกิจที่คนรักกัน ไม่เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ก็เป็นเศรษฐกิจที่เติบโตยั่งยืน ผมจะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และจะขอกลับมาเสนอข้อคิดเพิ่มเติมตามแรงบันดาลใจที่ได้รับต่อไปครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น