มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
ผมได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์ เรื่อง “วิ่ง สู้ ฟัด ภาค 5” เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าจัดได้เป็นภาพยนตร์ดีๆ มีบทเรียนอีกเรื่องหนึ่ง ผมได้บทเรียนดังนี้ครับ
1. เกมส์อาจทำให้เด็กหลงทางได้ เราอยู่ในยุคที่เกมส์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้มีการพัฒนาไปมาก เกมส์จำนวนไม่น้อย เป็นเกมส์ที่รุนแรง ทำร้ายผู้อื่น จนอาจทำให้เด็กเรียนรู้ผิดๆ ที่จะนิยมความรุนแรง เชื่อไปผิดๆ ว่าการเอาชนะผู้อื่น จนถึงขั้นสามารถเอาเปรียบเอาประโยชน์จากผู้อื่น หรือขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่น คือความสำเร็จ หรือในที่สุด อาจคิดผิดๆ ไป ว่าการทำร้ายคน หรือฆ่าคน เป็นชัยชนะ
2. สอนลูกด้วยความรัก ผมยอมรับว่า พัฒนาการของโลก Animation เช่น เกมส์คอมพิวเตอร์ น่าติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิดพอควร เพราะยังมีโอกาสในการพัฒนาในอนาคตอีกมาก ลูกๆ ของผม ก็ชอบเล่นเกมส์ แม้บางครั้งก็เกินเลยไปจากจุดที่ผมอยากเห็น แต่ก็พยายามที่จะสอนว่า
“ถ้าเกมส์ง่ายๆ ไปตลอด ลูกจะสนุกไหม ?” “พ่อทำงานก้าวไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเล่นเกมส์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรามองปัญหาในงานให้สนุกเหมือนเกมส์ งานก็สนุก ได้สาระ และได้ผลงานด้วย” และเราก็คงต้องคอยช่วยกันเลือกเกมส์เฉพาะที่สนุกอย่างสร้างสรรค์
สอนลูกๆ ไม่ให้หลงคิดผิดๆ จากเกมส์ที่ไม่ดี และระมัดระวัง อย่าเสียเวลาให้สูญเปล่าไปอย่างไร้ค่า คำสอนทั้งหมด ก็เพราะรัก เพราะลูกๆ จะต้องเรียนรู้ที่จะวางแผนชีวิตตนเองในอนาคต ควรมองชีวิตที่ท้าทาย เป็นดังเกมส์ที่ท้าทาย ไม่ใช่มองการเล่นเกมส์ หรือการใช้เวลาโดยปราศจากสาระ หรือคุณค่าต่อส่วนรวม เป็นเพียงเงื่อนไขสำคัญที่เป็นความสุขในชีวิต
ตัวอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ก็คือการที่พ่อ ซึ่งเป็นตำรวจใหญ่ ไม่รู้จักสอนลูกด้วยความรัก โบยตีดุด่าลงโทษ หลายครั้งที่ดุด่า คือกลัวว่า ตัวจะต้องเสียหน้า อายชาวบ้านเขา จนลูกสงสัยว่าพ่อรักหรือไม่
หรือภายหลัง อาจแย่ลงถึงขั้นหายสงสัย คือมั่นใจว่าพ่อไม่รัก ที่เฆี่ยนตี เพราะความโกรธ กลัวทำให้ตัวอาย มากกว่าความรัก สายใยแห่งความรัก จึงควรรักษาไว้เสมอ พระเจ้าให้พระอาทิตย์ส่องสว่างทุกวัน ให้อากาศหายใจ ให้เวลาวันละ 24 ชั่วโมงทุกวัน
แม้เรายังไม่ใช่คนดีสมบูรณ์ เราก็ควรจะเรียนรู้ที่จะแสดงความรักมั่นคงต่อลูก เมื่อเราสอนลูก โดยมีเป้าหมายต่อลูกเป็นศูนย์กลาง ลูกก็เชื่อมั่นว่า เราสอนเพราะเรารัก และมีโอกาสที่จะเชื่อฟังมากกว่า
3. ความหดหู่ จมปลักกับความทุกข์เศร้า และการไม่ให้อภัยตนเอง ทำให้เลวร้ายลง หลังจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต เฉินหลงกลายเป็นคนขี้เมา ไม่สามารถทำงานได้เป็นปี กลายเป็นคนไร้ค่า ต่อเมื่อเริ่มเห็นว่า จะทุกข์เศร้าขมขื่นต่อไป จะโทษตัวเองต่อไป ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับมาบำรุงขวัญกำลังใจตนเอง เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เพื่อทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ก็ทำให้เกิดการแก้ไข จนทุกอย่างก็ดีขึ้น
4. เมื่อเผชิญสิ่งที่ไม่สมหวัง ก็ควรตำหนิให้ถูกเป้า แม้แฟนของเฉินหลง ก็ควรจะเสียใจ เพราะเฉินหลงไม่สามารถปกป้องน้องของเธอได้ แต่เธอรู้ว่า เฉินหลงทำเต็มที่แล้ว และรักเป็นห่วงน้องของเธอและทีมงานเสมอ เธอไม่ได้โทษเฉินหลง ไม่ได้โทษฟ้าดิน หรือพระเจ้า แต่เธอโทษแก๊งโจรนั้นมากกว่า
เมื่อเราเห็นยังมีคนเลวๆ ทำร้ายผู้คน ก็อย่าถึงกับเศร้าใจ ว่าทำไม ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าไม่ให้คนเหล่านี้หมดไปจากโลก พระพรสำคัญสำหรับมนุษย์เราทุกคน คือเสรีภาพ เรามีสิทธิที่จะเลือกเชื่อทางชอบธรรมก็ได้ เราเลือกที่จะไม่เชื่อก็ได้ คนไม่เชื่อ ก็มีระดับต่างๆ กันไป โกรธคนอื่น เกลียดคนอื่น อิจฉาคนอื่น มุ่งร้ายคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น ทำร้ายคนอื่น ฯลฯ
ผมได้รับการสอนว่า “เราทุกคน มีอิสระว่าจะทำดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ แต่เราไม่สามารถเป็นอิสระจากผลของการกระทำของตนได้”
จะเห็นได้ว่า การทำความชั่ว ก็คือร้ายต่อคนอื่น และการทำความดี ก็คือดีต่อคนอื่น ตามหลักการที่ว่า “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
5. ความรัก เป็นพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคนให้ดี เฉินหลงได้ให้อภัยคนร้าย แสดงออกถึงความห่วงใย ว่าเขาเสียเลือดไปมากแล้ว น่าจะเร่งหารถพยาบาลมาช่วย ความรักและความให้อภัย ช่วยให้คนร้ายรู้สึกกลับใจได้จริงๆ
ผมเองก็สังเกตว่า หลายครั้ง คนเราก็รู้ว่า สิ่งที่ทำนั้นผิด แต่จะกลับใจใหม่ หรือปรับปรุงตัวได้ดีเมื่อได้รับความรัก และกำลังใจให้ทำความดี และยึดมั่นในความดี
6. รักคนรักกันที่จิตใจ แฟนเฉินหลงก็รักเฉินหลงที่จิตใจ เธอเลือกที่จะเป็นแฟนของวีรบุรุษ เธอให้กำลังใจเฉินหลง ในการปราบผู้ร้ายเสมอ เธอเลือกที่จะเสี่ยง ต้องถูกปองร้ายจากคนร้ายที่เป็นศัตรูของเฉินหลง เธอเลือกที่จะรักคนอื่น ถึงขั้นยอมเสี่ยงที่อาจต้องสละชีวิตตนเอ งเสี่ยงตัดสายระเบิดที่ผูกคอเธอ ทั้งที่เธอเลือกทำดี และพร้อมรับผลของการระเบิด
เธอก็ต้องรับผลจากแรงระเบิด จนรูปโฉมต้องเสื่อมไป ทุกคนจึงบูชาความเสียสละของเธอ เฉินหลงก็พร้อมจะรักเธอ เป็นความรักลึกซึ้งมั่นคง เพราะรักกันที่จิตใจ
ท้ายที่สุด ผมสังเกตว่า เฉินหลงแก่แล้ว แต่ยังขยัน ยังสนุกกับการสร้างผลงาน เฉินหลงเป็นบุคคลที่ชาวเอเซียควรภาคภูมิใจ เขาเล่นหนังมานับร้อยๆ เรื่อง ขยันทำงานเพื่อผู้ชมด้วยความรัก จนบัดนี้ ผมเชื่อว่าฐานะร่ำรวยมหาศาล แต่การทำหนังดีมีคุณค่า เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจจริงๆ และถ้าเราดูเฉินหลงเป็นตัวอย่างของการทำงาน เศรษฐกิจก็จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนครับ
ผมได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์ เรื่อง “วิ่ง สู้ ฟัด ภาค 5” เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมคิดว่าจัดได้เป็นภาพยนตร์ดีๆ มีบทเรียนอีกเรื่องหนึ่ง ผมได้บทเรียนดังนี้ครับ
1. เกมส์อาจทำให้เด็กหลงทางได้ เราอยู่ในยุคที่เกมส์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้มีการพัฒนาไปมาก เกมส์จำนวนไม่น้อย เป็นเกมส์ที่รุนแรง ทำร้ายผู้อื่น จนอาจทำให้เด็กเรียนรู้ผิดๆ ที่จะนิยมความรุนแรง เชื่อไปผิดๆ ว่าการเอาชนะผู้อื่น จนถึงขั้นสามารถเอาเปรียบเอาประโยชน์จากผู้อื่น หรือขโมยเอาทรัพย์ของคนอื่น คือความสำเร็จ หรือในที่สุด อาจคิดผิดๆ ไป ว่าการทำร้ายคน หรือฆ่าคน เป็นชัยชนะ
2. สอนลูกด้วยความรัก ผมยอมรับว่า พัฒนาการของโลก Animation เช่น เกมส์คอมพิวเตอร์ น่าติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิดพอควร เพราะยังมีโอกาสในการพัฒนาในอนาคตอีกมาก ลูกๆ ของผม ก็ชอบเล่นเกมส์ แม้บางครั้งก็เกินเลยไปจากจุดที่ผมอยากเห็น แต่ก็พยายามที่จะสอนว่า
“ถ้าเกมส์ง่ายๆ ไปตลอด ลูกจะสนุกไหม ?” “พ่อทำงานก้าวไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเล่นเกมส์ที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรามองปัญหาในงานให้สนุกเหมือนเกมส์ งานก็สนุก ได้สาระ และได้ผลงานด้วย” และเราก็คงต้องคอยช่วยกันเลือกเกมส์เฉพาะที่สนุกอย่างสร้างสรรค์
สอนลูกๆ ไม่ให้หลงคิดผิดๆ จากเกมส์ที่ไม่ดี และระมัดระวัง อย่าเสียเวลาให้สูญเปล่าไปอย่างไร้ค่า คำสอนทั้งหมด ก็เพราะรัก เพราะลูกๆ จะต้องเรียนรู้ที่จะวางแผนชีวิตตนเองในอนาคต ควรมองชีวิตที่ท้าทาย เป็นดังเกมส์ที่ท้าทาย ไม่ใช่มองการเล่นเกมส์ หรือการใช้เวลาโดยปราศจากสาระ หรือคุณค่าต่อส่วนรวม เป็นเพียงเงื่อนไขสำคัญที่เป็นความสุขในชีวิต
ตัวอย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้เอง ก็คือการที่พ่อ ซึ่งเป็นตำรวจใหญ่ ไม่รู้จักสอนลูกด้วยความรัก โบยตีดุด่าลงโทษ หลายครั้งที่ดุด่า คือกลัวว่า ตัวจะต้องเสียหน้า อายชาวบ้านเขา จนลูกสงสัยว่าพ่อรักหรือไม่
หรือภายหลัง อาจแย่ลงถึงขั้นหายสงสัย คือมั่นใจว่าพ่อไม่รัก ที่เฆี่ยนตี เพราะความโกรธ กลัวทำให้ตัวอาย มากกว่าความรัก สายใยแห่งความรัก จึงควรรักษาไว้เสมอ พระเจ้าให้พระอาทิตย์ส่องสว่างทุกวัน ให้อากาศหายใจ ให้เวลาวันละ 24 ชั่วโมงทุกวัน
แม้เรายังไม่ใช่คนดีสมบูรณ์ เราก็ควรจะเรียนรู้ที่จะแสดงความรักมั่นคงต่อลูก เมื่อเราสอนลูก โดยมีเป้าหมายต่อลูกเป็นศูนย์กลาง ลูกก็เชื่อมั่นว่า เราสอนเพราะเรารัก และมีโอกาสที่จะเชื่อฟังมากกว่า
3. ความหดหู่ จมปลักกับความทุกข์เศร้า และการไม่ให้อภัยตนเอง ทำให้เลวร้ายลง หลังจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต เฉินหลงกลายเป็นคนขี้เมา ไม่สามารถทำงานได้เป็นปี กลายเป็นคนไร้ค่า ต่อเมื่อเริ่มเห็นว่า จะทุกข์เศร้าขมขื่นต่อไป จะโทษตัวเองต่อไป ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลับมาบำรุงขวัญกำลังใจตนเอง เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เพื่อทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ก็ทำให้เกิดการแก้ไข จนทุกอย่างก็ดีขึ้น
4. เมื่อเผชิญสิ่งที่ไม่สมหวัง ก็ควรตำหนิให้ถูกเป้า แม้แฟนของเฉินหลง ก็ควรจะเสียใจ เพราะเฉินหลงไม่สามารถปกป้องน้องของเธอได้ แต่เธอรู้ว่า เฉินหลงทำเต็มที่แล้ว และรักเป็นห่วงน้องของเธอและทีมงานเสมอ เธอไม่ได้โทษเฉินหลง ไม่ได้โทษฟ้าดิน หรือพระเจ้า แต่เธอโทษแก๊งโจรนั้นมากกว่า
เมื่อเราเห็นยังมีคนเลวๆ ทำร้ายผู้คน ก็อย่าถึงกับเศร้าใจ ว่าทำไม ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าไม่ให้คนเหล่านี้หมดไปจากโลก พระพรสำคัญสำหรับมนุษย์เราทุกคน คือเสรีภาพ เรามีสิทธิที่จะเลือกเชื่อทางชอบธรรมก็ได้ เราเลือกที่จะไม่เชื่อก็ได้ คนไม่เชื่อ ก็มีระดับต่างๆ กันไป โกรธคนอื่น เกลียดคนอื่น อิจฉาคนอื่น มุ่งร้ายคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น ทำร้ายคนอื่น ฯลฯ
ผมได้รับการสอนว่า “เราทุกคน มีอิสระว่าจะทำดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ แต่เราไม่สามารถเป็นอิสระจากผลของการกระทำของตนได้”
จะเห็นได้ว่า การทำความชั่ว ก็คือร้ายต่อคนอื่น และการทำความดี ก็คือดีต่อคนอื่น ตามหลักการที่ว่า “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
5. ความรัก เป็นพลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคนให้ดี เฉินหลงได้ให้อภัยคนร้าย แสดงออกถึงความห่วงใย ว่าเขาเสียเลือดไปมากแล้ว น่าจะเร่งหารถพยาบาลมาช่วย ความรักและความให้อภัย ช่วยให้คนร้ายรู้สึกกลับใจได้จริงๆ
ผมเองก็สังเกตว่า หลายครั้ง คนเราก็รู้ว่า สิ่งที่ทำนั้นผิด แต่จะกลับใจใหม่ หรือปรับปรุงตัวได้ดีเมื่อได้รับความรัก และกำลังใจให้ทำความดี และยึดมั่นในความดี
6. รักคนรักกันที่จิตใจ แฟนเฉินหลงก็รักเฉินหลงที่จิตใจ เธอเลือกที่จะเป็นแฟนของวีรบุรุษ เธอให้กำลังใจเฉินหลง ในการปราบผู้ร้ายเสมอ เธอเลือกที่จะเสี่ยง ต้องถูกปองร้ายจากคนร้ายที่เป็นศัตรูของเฉินหลง เธอเลือกที่จะรักคนอื่น ถึงขั้นยอมเสี่ยงที่อาจต้องสละชีวิตตนเอ งเสี่ยงตัดสายระเบิดที่ผูกคอเธอ ทั้งที่เธอเลือกทำดี และพร้อมรับผลของการระเบิด
เธอก็ต้องรับผลจากแรงระเบิด จนรูปโฉมต้องเสื่อมไป ทุกคนจึงบูชาความเสียสละของเธอ เฉินหลงก็พร้อมจะรักเธอ เป็นความรักลึกซึ้งมั่นคง เพราะรักกันที่จิตใจ
ท้ายที่สุด ผมสังเกตว่า เฉินหลงแก่แล้ว แต่ยังขยัน ยังสนุกกับการสร้างผลงาน เฉินหลงเป็นบุคคลที่ชาวเอเซียควรภาคภูมิใจ เขาเล่นหนังมานับร้อยๆ เรื่อง ขยันทำงานเพื่อผู้ชมด้วยความรัก จนบัดนี้ ผมเชื่อว่าฐานะร่ำรวยมหาศาล แต่การทำหนังดีมีคุณค่า เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจจริงๆ และถ้าเราดูเฉินหลงเป็นตัวอย่างของการทำงาน เศรษฐกิจก็จะเติบโตได้อย่างยั่งยืนครับ