xs
xsm
sm
md
lg

"TNITY"รูดต่ำพื้นฐานไซรัสแนะลุย...ดีบีเอสฯมองเต็มมูลค่าให้เป้า17บ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน- 2 โบรกเกอร์ "ไซรัส-ซิกโก้" ยังแนะซื้อหุ้น TNITY แม้กำไรไตรมาส 2/47 วูบ 68% จากไตรมาสแรก ระบุกำไรหดเป็นไปตามภาวะตลาดโดยรวม คาดทั้งปี 2547 กำไรโต 13% จากปีก่อน ในขณะที่ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดที่ระดับ 2.50-2.70% ไว้ได้ หลังราคาหุ้นยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ 25-27 บาท ด้านบล.ดีบีเอสฯ มองหุ้นเต็มมูลค่าแล้วให้เป้าหมายราคาที่ 17 บาท
จากกรณีบริษัท ทรีนีตี้วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY ประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/47 มีกำไรสุทธิ 15 ล้านบาท ลดลง 68% จากไตรมาส 1/47 ที่ผ่านมา
บทวิเคราะห์จาก บล.ไซรัส ให้ความเห็นว่า กำไรสุทธิที่ปรับตัสลดลง 68% เป็นไปตามภาวะตลาด โดยสาเหตุหลักมาจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดที่ลดจาก 28,848 ลบ. ในไตรมาส 1/47 เป็น 19,752 ในไตรมาส 2/47 รวมถึงส่วนแบ่งตลาดฯ ของ TNITY ลดลงจาก 2.67% เป็น 2.59% ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมต่ำกว่าคาดเล็กน้อย เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/46 อย่างไรก็ตามยังมีกำไรเพิ่ม 50% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บล.ไซรัส ได้ปรับลดมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานปี 47 ของ TNITY จาก 25 บาท เป็น 24.50 บาท (P/E 16 เท่า, P/BV 2.8 เท่า) จากกำไรไตรมาส 2/47 ที่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม คาดว่า TNITY จะมีกำไรในปี 47 เท่ากับ 1.54 บาท/หุ้น เพิ่ม 13% จากปี 2546 (กำไรครึ่งแรก/2547 คิดเป็น 29% ของคาดการณ์ทั้งปี) ซึ่งเป็นประมาณการณ์ในเชิงบวก โดยใช้สมมติฐานมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 27,000 ล้านบาท และส่วนแบ่งตลาดฯ ที่ 2.75% ขณะที่ มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 24,407 ลบ. และส่วนแบ่งตลาดฯ TNITY อยู่ที่ 2.65% มูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานสูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบัน 28% จึงแนะนำซื้อ
ด้าน บล.ซิกโก้ ออกบทวิเคราะห์หุ้น TNITY ระบุว่า บริษัทประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/47 ไม่ดีนัก มีกำไรสุทธิเพียง 15.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาท หรือ 55% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงถึง 31.9 ล้านบาท หรือ 67% เทียบกับไตรมาส 1/47
ทั้งนี้หากพิจารณาผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2547 ถือว่าปรับตัวดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิ 62.8 ล้านบาท เทียบกับครึ่งแรกของปี 2546 ที่ขาดทุน 5.6 ล้านบาท
บทวิเคราะห์ระบุว่า กำไรที่ลดลงมาจากสาเหตุหลัก คือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงจาก 27,900 ล้านบาทในไตรมาส 1/47 เป็น 19,070 ล้านบาทในไตรมาส 2/47 เนื่องจากปัจจัยลบที่เข้ามารุมเร้าทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ลดลง 98.9 ลบ. คิดเป็น 40% แต่เพิ่มขึ้น 159% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุอีกประการหนึ่ง คือ บริษัทไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 31.5 ล้านบาท คิดเป็น 19% เทียบกับไตรมาส 1/47 ซึ่งเมื่อเทียบอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้หลักพบว่ามีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 67.27% ใน ไตรมาส 1/47 เป็น 82.75% ใน ไตรมาส 2/47
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันได้รับรู้และซึมซับต่อผลกระทบทางด้านลบไปมากแล้ว รวมทั้งทางบริษัทยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดที่ 2.5-2.7% ไว้ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 27.00 บาท (อิงจาก PER ที่ 19 เท่า) ซึ่งยังมี capital gain อีก 40%
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) มองราคาหุ้นของบล.ทรีนิตี้ วัฒนา (TNITY)"Fully Valued" ประเมินจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยปี 04 ไว้ที่ระดับ 2.0 หมื่นล้านบาท โดยตั้งสมมติฐานส่วนแบ่งการตลาดไว้ที่ระดับ 2.6% คาดว่าจะกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.85 บาท ดังนั้น PE 2004 ที่ระดับ 20 เท่า มีราคาเป้าหมายที่ 17.00 บาท
ไตรมาสที่ 2/47 บริษัทมีกำไรสุทธิ 15.44 ล้านบาท (EPS 0.11 บาท) ลดลง 67% qoq โดยสาเหตุหลักมาจากปริมาณการซื้อขายลดลงจาก 2.8 หมื่นล้านบาทต่อวันในไตรมาส 1 เหลือ 1.9 หมื่นล้านบาทต่อวันในไตรมาสนี้
รายได้ค่านายหน้าในไตรมาส 2/47 ลดลง 40% qoq โดยที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดลดลงจาก 2.67% ในไตรมาส 1 มาอยู่ที่ระดับ 2.59% ในไตรมาส 2 นี้ นอกจากนี้บริษัทยังคงรับรู้ขาดทุนจากเงินลงทุนอีก 4.86 ล้านบาท ดังนั้นถึงแม้รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจาก 2.63 ล้านบาทเป็น 16.6 ล้านบาทก็ตามแต่บริษัทก็ยังแสดงกำไรที่ลดลง
ในด้านค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานในไตรมาสที่ 2/47 มีจำนวน 75 ล้านบาท ลดลง 30% qoq อย่างไรก็ตามหากเทียบเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายพนักงานต่อรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้นจาก 43% ในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ระดับ 50% ในไตรมาสนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น TNITY ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าถูกทุบลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 53.50 บาท เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2547 ก่อนจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปิดตลาดวานนี้ (10 ส.ค.) ที่ระดับ 18.60 บาท ลดลง 0.50 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น