ผู้จัดการรายวัน-ฐิติกรตั้งเป้าปีนี้โกยรายได้เพิ่มขึ้น 20% วางแผนปีนี้เปิดสาขาเพิ่ม 10 แห่งตั้งเป้า 3
ปีครอบคลุมทั่วประเทศ ผู้บริหารชี้ถ้าปรับดอกเบี้ยขึ้นไม่เกิน 1% ในปีนี้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกรจำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าว่า
ภายในปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 20%โดยในปี 2546 บริษัทมีรายได้ประมาณ 1,400 ล้านบาท
ซึ่งในงวดครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นแล้วประมาณ15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งบริษัทยังเน้นการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่งขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 37% และ
ตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในระดับ 40%
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้จะมาจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 70% และเป็นรถยนต์มือสอง
จำนวน 30%
นางสาวปฐมากล่าวว่าบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในปีนี้จำนวน 10 แห่งโดยแต่ละสาขานั้นจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้มีการเปิดไปแล้วจำนวน 4 แห่งทำให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 39 แห่งซึ่งยังเหลืออีก 6 แห่ง ซึ่งเมื่อถึงสิ้นปีจะมีสาขาทั้งสิ้น 45 แห่ง โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจะมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
ปัจจุบันบริษัทฐิติกรมีบานเงินทุนที่เพียงพอรองรับการขยายตัวสินเชื่อในอนาคต ด้วยอัตราหนี้สินต่อทุน 1.26 เท่า และบริษัทมีนโยบายทางบัญชีและการสำรองที่เข้มงวด ในส่วนของการบริหารความเสี่ยงนั้นบริษัท
มีการสร้างความสมดุลระหว่างผลกำไรและความมั่นคงของธุรกิจโดยบริษัทกำหนดหลักเกณฑ์การตั้งสำรองหนี้ที่มีความเข้มงวดกว่าเกณฑ์การตั้งสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่บังคับใช้กับธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้บริษัทมีการตั้งสำรองเต็มมูลค่าสินเชื่อโดยไม่มีการหักมูลค่าหลักประกัน
สำหรับการแข่งขันนั้นเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนักเพราะบริษัทเป็นผู้นำในการให้บริการ
สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และมีประสบการณ์กว่า 30 ปีและตลาดยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมาก
นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทฐิติกรกล่าวว่า ปัจจุบันนี้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกรุงเทพ60% และต่างจัวหวัด 40%แต่ในอนาคตบริษัทจะปรับสัดส่วนใหม่เป็นในต่างจังหวัด 85%
และกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 15%และบริษัทมีแผนที่จะรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อแก่เต้นท์รถ
ซึ่งบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้กู้เงินมา 3,000 ล้านบาทและได้ใช้ไปแล้วประมาณ 2,000 ล้านบาทดังนั้นจึงเหลืออีกประมาณ 1,000 ล้านบาทที่สามารถนำไปปล่อยสินเชื่อได้
สำหรับการที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นนายประพลกล่าวว่า ถ้าดอกเบี้ยปรับไม่สูงเกิน
กว่า 1% เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทแต่อย่างใดแต่ถ้าเกินกว่า 1% บริษัทคงจะได้รับผลกระทบบ้างแต่บริษัทก็จะทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม โดยขณะนี้บริษัทคิดดอกเบี้ยสำหรับรถจักรยานยต์ในอัตรา 2%
ต่อเดือนและรถยนต์มือสองจะคิดในอัตรา 5-8% ต่อเดือน
ปีครอบคลุมทั่วประเทศ ผู้บริหารชี้ถ้าปรับดอกเบี้ยขึ้นไม่เกิน 1% ในปีนี้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกรจำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าว่า
ภายในปีนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 20%โดยในปี 2546 บริษัทมีรายได้ประมาณ 1,400 ล้านบาท
ซึ่งในงวดครึ่งปีแรกบริษัทสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นแล้วประมาณ15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งบริษัทยังเน้นการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่งขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 37% และ
ตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในระดับ 40%
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้จะมาจากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 70% และเป็นรถยนต์มือสอง
จำนวน 30%
นางสาวปฐมากล่าวว่าบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในปีนี้จำนวน 10 แห่งโดยแต่ละสาขานั้นจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้มีการเปิดไปแล้วจำนวน 4 แห่งทำให้ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 39 แห่งซึ่งยังเหลืออีก 6 แห่ง ซึ่งเมื่อถึงสิ้นปีจะมีสาขาทั้งสิ้น 45 แห่ง โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจะมีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
ปัจจุบันบริษัทฐิติกรมีบานเงินทุนที่เพียงพอรองรับการขยายตัวสินเชื่อในอนาคต ด้วยอัตราหนี้สินต่อทุน 1.26 เท่า และบริษัทมีนโยบายทางบัญชีและการสำรองที่เข้มงวด ในส่วนของการบริหารความเสี่ยงนั้นบริษัท
มีการสร้างความสมดุลระหว่างผลกำไรและความมั่นคงของธุรกิจโดยบริษัทกำหนดหลักเกณฑ์การตั้งสำรองหนี้ที่มีความเข้มงวดกว่าเกณฑ์การตั้งสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่บังคับใช้กับธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้บริษัทมีการตั้งสำรองเต็มมูลค่าสินเชื่อโดยไม่มีการหักมูลค่าหลักประกัน
สำหรับการแข่งขันนั้นเชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนักเพราะบริษัทเป็นผู้นำในการให้บริการ
สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และมีประสบการณ์กว่า 30 ปีและตลาดยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมาก
นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทฐิติกรกล่าวว่า ปัจจุบันนี้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากกรุงเทพ60% และต่างจัวหวัด 40%แต่ในอนาคตบริษัทจะปรับสัดส่วนใหม่เป็นในต่างจังหวัด 85%
และกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 15%และบริษัทมีแผนที่จะรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อแก่เต้นท์รถ
ซึ่งบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้กู้เงินมา 3,000 ล้านบาทและได้ใช้ไปแล้วประมาณ 2,000 ล้านบาทดังนั้นจึงเหลืออีกประมาณ 1,000 ล้านบาทที่สามารถนำไปปล่อยสินเชื่อได้
สำหรับการที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นนายประพลกล่าวว่า ถ้าดอกเบี้ยปรับไม่สูงเกิน
กว่า 1% เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทแต่อย่างใดแต่ถ้าเกินกว่า 1% บริษัทคงจะได้รับผลกระทบบ้างแต่บริษัทก็จะทยอยปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม โดยขณะนี้บริษัทคิดดอกเบี้ยสำหรับรถจักรยานยต์ในอัตรา 2%
ต่อเดือนและรถยนต์มือสองจะคิดในอัตรา 5-8% ต่อเดือน