บริษัทควอลิตี้ คอนสตรัคชั่นส์โปรดักส์ ทุ่มทุน 2,000 ล้านบาทผุดโรงงานแห่งใหม่อีก 3 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการอิฐมวลเบา เทคโนโลยีจากเยอรมนีที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทยในการเข้ามามีบทบาทแทนอิฐมอญ ขณะที่สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านมองภาพเติบโตต่อเนื่องตามภาพรวมอสังหาริมทรัพย์
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านนำโดยนายปราโมทย์ ธีรกุล นายกสมาคมฯ ได้นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมโรงงานผลิตอิฐมวลเบาของบริษัท ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่นส์โปรดักส์ หรือ Q-CON โดยนายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Q-Con เป็นผู้บรรยายสรุปข้อมูล
นายพยนต์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เตรียมลงทุนอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตอิฐมวลเบาให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนเพิ่มการผลิต 12 ล้านตารางเมตรต่อปี ด้วยการสร้างโรงงานเพิ่มอีก 3 แห่ง ซึ่ง 2 แห่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
นายพยนต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาอิฐมวลเบาได้รับความนิยมโดยเฉพาะจากโครงการขนาดใหญ่เพราะมีความคงทน ประหยัดเวลาก่อสร้าง อายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 50 ปี ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตร้อยละ 50 เชื่อว่าไตรมาส 2 จะเติบโตในระดับเดียวกัน ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดรายได้ทั้งปี 1,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ของส่วนแบ่งตลาดอิฐมวลเบา
“ยอมรับว่าที่ผ่านมาประชาชนมีความมั่นใจมากขึ้นในการใช้อิฐมวลเบาเข้ามาแทนอิฐมอญเพราะมีความคงทนมากกว่า น้ำหนักน้อยไม่ต้องใช้คานใหญ่มากในการสร้างบ้าน และประหยัดเวลาก่อสร้าง” นายพยนต์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจรับสร้างบ้านจะยังคงเติบโตต่อเนื่องตามตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สมาคมฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะยกระดับให้ผู้ประกอบการมีมาตรฐานได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมีการควบคุมมาตรฐานการทำงานไม่ให้ประชาชนถูกเอาเปรียบเหมือนในอดีต ยอมรับว่าราคาค่าก่อสร้างในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านที่จดทะเบียนถูกต้องนั้นแพงกว่ารายย่อยทั่วไปแต่ไม่มาก เพราะจะถูกชดเชยจากการที่บริษัทใหญ่มีเครือข่ายทั้งผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงินที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคอย่างเต็มที่
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านนำโดยนายปราโมทย์ ธีรกุล นายกสมาคมฯ ได้นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมโรงงานผลิตอิฐมวลเบาของบริษัท ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่นส์โปรดักส์ หรือ Q-CON โดยนายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Q-Con เป็นผู้บรรยายสรุปข้อมูล
นายพยนต์ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เตรียมลงทุนอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตอิฐมวลเบาให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนเพิ่มการผลิต 12 ล้านตารางเมตรต่อปี ด้วยการสร้างโรงงานเพิ่มอีก 3 แห่ง ซึ่ง 2 แห่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง
นายพยนต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาอิฐมวลเบาได้รับความนิยมโดยเฉพาะจากโครงการขนาดใหญ่เพราะมีความคงทน ประหยัดเวลาก่อสร้าง อายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 50 ปี ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตร้อยละ 50 เชื่อว่าไตรมาส 2 จะเติบโตในระดับเดียวกัน ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดรายได้ทั้งปี 1,000 ล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 80 ของส่วนแบ่งตลาดอิฐมวลเบา
“ยอมรับว่าที่ผ่านมาประชาชนมีความมั่นใจมากขึ้นในการใช้อิฐมวลเบาเข้ามาแทนอิฐมอญเพราะมีความคงทนมากกว่า น้ำหนักน้อยไม่ต้องใช้คานใหญ่มากในการสร้างบ้าน และประหยัดเวลาก่อสร้าง” นายพยนต์ กล่าว
นายปราโมทย์ กล่าวว่า แนวโน้มของธุรกิจรับสร้างบ้านจะยังคงเติบโตต่อเนื่องตามตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่สมาคมฯ ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะยกระดับให้ผู้ประกอบการมีมาตรฐานได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมีการควบคุมมาตรฐานการทำงานไม่ให้ประชาชนถูกเอาเปรียบเหมือนในอดีต ยอมรับว่าราคาค่าก่อสร้างในส่วนของบริษัทรับสร้างบ้านที่จดทะเบียนถูกต้องนั้นแพงกว่ารายย่อยทั่วไปแต่ไม่มาก เพราะจะถูกชดเชยจากการที่บริษัทใหญ่มีเครือข่ายทั้งผู้ค้าวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงินที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคอย่างเต็มที่