“วิชัย ทองแตง” ยืนยันในปีหน้าจะเห็นกลุ่มโรงพยาบาลควบรวมกิจการชัดเจนขึ้นเพื่อรับมือการแข่งขันเสรี ล่าสุดเร่งเครื่องเพิ่มความแข็งแกร่งให้เปาโลหวังดันเข้าตลาดหลักทรัพย์โดยเร็ว หลังจากดุสิตเวชการควบรวมกิจการวานนี้
นายวิชัย ทองแตง ประธานบริหาร โรงพยาบาลในเครือพญาไท กล่าวถึงการควบรวมกิจการ โรงพยาบาลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ถือเป็นการปรับตัวเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ เพื่อรับมือกับการแข่งขันเสรีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลประกาศจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางศูนย์สุขภาพในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับโรงพยาบาลในเครือพญาไทได้เห็นแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมานานแล้ว โดยได้เตรียมที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับโรงพยาบาลในเครือเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ บมจ.ประสิทธิ์พัฒนา ผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ได้ทำสัญญาให้ความร่วมมือในการประกอบธุรกิจโรงพยาบาล กับบริษัท เปาโล เมดิค จำกัด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่นายวิชัยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่เช่นเดียวกับโรงพยาบาลพญาไท
นายวิชัยกล่าวต่อว่า การเซ็นสัญญาความร่วมมือดังกล่าวเป็นเพราะต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโรงพยาบาลเปาโล ก่อนจะนำเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหลังจากที่เกิดการควบรวมกิจการระหว่างโรงพยาบาลดุสิตเวชการ ร.พ.รามคำแหง และ ร.พ.สมิติเวช เมื่อวานนี้ คาดว่าจะต้องเร่งมือเพิ่มความแข็งแกร่งให้โรงพยาบาลเปาโล เพื่อให้แผนการนำเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นไปได้เร็วกว่าเดิม
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2548 เป็นต้นไปจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจโรงพยาบาลในลักษณะที่ควบรวมกิจการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและวางจุดยืนของธุรกิจโรงพยาบาลในแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจนว่าจะจับลูกค้ากลุ่มใด
“ธุรกิจโรงพยาบาลหลังจากนี้ จะมีจุดยืนและมีตลาดที่เป็นของตัวเองอย่างชัดเจนว่าจะจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใด เนื่องจากหลังจากนี้จะมีโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพเกิดขึ้นในหลายลักษณะไม่ว่าจะเป็น เฮ็ลธ์ตี้ สปา หรือรีสอร์ท ที่เป็นกึ่งโรงพยาบาลกึ่งรีสอร์ทที่เน้นทั้งการท่องเที่ยวและรักษาพยาบาลไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเห็นความชัดเจนของการปรับตัวในลักษณะนี้ชัดเจนขึ้นในปีหน้า” นายวิชัย กล่าว
สำหรับการลงทุนในอนาคตเขายังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจในกลุ่มสุขภาพ ส่วนการลงทุนในธุรกิจอื่นจะเน้นให้สามารถเกื้อหนุนกับธุรกิจเดิมได้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่านายวิชัย ทองแตง ได้เจรจาซื้อ บล.สินอุตสาหกรรม จากธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตนายวิชัยจะใช้ธุรกิจด้านการเงินเข้าไปสนับสนุนธุรกิจโรงพยาบาลที่เขามองว่าจะต้องขยายเครือข่ายกว้างขวางขึ้นเพื่อรับมือการแข่งขันเสรีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นายวิชัย ทองแตง ประธานบริหาร โรงพยาบาลในเครือพญาไท กล่าวถึงการควบรวมกิจการ โรงพยาบาลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า ถือเป็นการปรับตัวเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ เพื่อรับมือกับการแข่งขันเสรีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลประกาศจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางศูนย์สุขภาพในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับโรงพยาบาลในเครือพญาไทได้เห็นแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมานานแล้ว โดยได้เตรียมที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับโรงพยาบาลในเครือเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ บมจ.ประสิทธิ์พัฒนา ผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ได้ทำสัญญาให้ความร่วมมือในการประกอบธุรกิจโรงพยาบาล กับบริษัท เปาโล เมดิค จำกัด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่นายวิชัยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่เช่นเดียวกับโรงพยาบาลพญาไท
นายวิชัยกล่าวต่อว่า การเซ็นสัญญาความร่วมมือดังกล่าวเป็นเพราะต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโรงพยาบาลเปาโล ก่อนจะนำเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหลังจากที่เกิดการควบรวมกิจการระหว่างโรงพยาบาลดุสิตเวชการ ร.พ.รามคำแหง และ ร.พ.สมิติเวช เมื่อวานนี้ คาดว่าจะต้องเร่งมือเพิ่มความแข็งแกร่งให้โรงพยาบาลเปาโล เพื่อให้แผนการนำเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นไปได้เร็วกว่าเดิม
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2548 เป็นต้นไปจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจโรงพยาบาลในลักษณะที่ควบรวมกิจการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและวางจุดยืนของธุรกิจโรงพยาบาลในแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจนว่าจะจับลูกค้ากลุ่มใด
“ธุรกิจโรงพยาบาลหลังจากนี้ จะมีจุดยืนและมีตลาดที่เป็นของตัวเองอย่างชัดเจนว่าจะจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มใด เนื่องจากหลังจากนี้จะมีโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพเกิดขึ้นในหลายลักษณะไม่ว่าจะเป็น เฮ็ลธ์ตี้ สปา หรือรีสอร์ท ที่เป็นกึ่งโรงพยาบาลกึ่งรีสอร์ทที่เน้นทั้งการท่องเที่ยวและรักษาพยาบาลไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะเห็นความชัดเจนของการปรับตัวในลักษณะนี้ชัดเจนขึ้นในปีหน้า” นายวิชัย กล่าว
สำหรับการลงทุนในอนาคตเขายังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจในกลุ่มสุขภาพ ส่วนการลงทุนในธุรกิจอื่นจะเน้นให้สามารถเกื้อหนุนกับธุรกิจเดิมได้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่านายวิชัย ทองแตง ได้เจรจาซื้อ บล.สินอุตสาหกรรม จากธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตนายวิชัยจะใช้ธุรกิจด้านการเงินเข้าไปสนับสนุนธุรกิจโรงพยาบาลที่เขามองว่าจะต้องขยายเครือข่ายกว้างขวางขึ้นเพื่อรับมือการแข่งขันเสรีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต