ผู้บริหารเมเจอร์ระบุว่าหลังจากควบรวมกับอีจีวีแล้วจะขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งรุกไปยังต่างประเทศด้วย โดยตั้งเป้าหมายแรกไว้ที่เวียดนาม พร้อมกับยืนยันว่าจะไม่ขึ้นค่าตั๋วหรือผูกขาดธุรกิจอย่างแน่นอน
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR กล่าวว่า การควบรวมกิจการระหว่างเมเจอร์และอีจีวีเข้าด้วยกันจะทำให้มูลค่าตลาดรวมสูงเกิน 10,000 ล้านบาท โดยทั้งเมเจอร์และอีจีวีจะยังคงให้บริการโรงภาพยนตร์ภายใต้ชื่อเมเจอร์และอีจีวีต่อไป โดยการรวมกิจการครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันที่จะเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจภาพยนตร์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ลดต้นทุนทางด้านการเงินและการบริหารจัดการและถือเป็นโอกาสในการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ในประเทศให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากขึ้น และยังจะขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ออกสู่ต่างประเทศ โดยพิจารณาที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เป็นประเทศแรก
นายวิชา กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจโบว์ลิ่ง หรือฟิตเนส ที่เมเจอร์และอีจีวี มีบริการอยู่นั้น ทั้งสองฝ่ายจะไปหารือกับผู้ร่วมทุนอีกครั้งว่าจะร่วมมือกันอย่างไร ส่วนพนักงานของทั้งสองบริษัทไม่มีการปรับลด
“การรวมกิจการในครั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้ใครเสียหาย แต่เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและนำจุดแข็งของทั้งคู่มาเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจภาพยนตร์ ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้บริโภค เพราะจะได้ชมภาพยนตร์ที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งระยะเวลาการฉายภาพยนตร์จะนานขึ้นมากกว่า 1-2 สัปดาห์ เพราะไม่ต้องการแข่งขันในการฉายภาพยนตร์ที่ฮิตติดตลาดเพียงอย่างเดียว” นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า หลังการรวมกิจการแล้วจะไม่ผูกขาดตลาดโรงภาพยนตร์ โดยจะไม่ขึ้นค่าตั๋วหนัง แต่จะเพิ่มคุณภาพและบริการให้ผู้บริโภคมากขึ้น ส่วนความร่วมมือในการทำธุรกิจภาพยนตร์จะมีอะไรบ้างนั้นจะต้องใช้เวลาในการหารือกันอีกระยะหนึ่ง
ส่วนนายวิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ EGVกล่าวว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติที่ปัจจุบันเข้ามาครองส่วนแบ่งธุรกิจที่สำคัญหลายอย่างในเมืองไทยจะเหลือเพียงธุรกิจที่ดินและธุรกิจบันเทิงที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การทำข้อตกลงรวมกิจการของเมเจอร์และอีจีวีใช้เวลาดำเนินการสั้นมาก โดยผู้บริหารทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันที่จะเพิ่มศักยภาพในธุรกิจโรงภาพยนตร์และลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนลง สำหรับมูลค่าการตลาด (มาร์เก็ต แชร์) ของทั้งสองแห่งรวมกันมีมูลค่าทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของตลาดภาพยนตร์ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งหนังแผ่นดีวีดีและวีซีดี ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวม 14,000 ล้านบาท แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะภาพยนตร์ที่ฉายในโรงหนังที่มีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ทั้งสองค่ายก็จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดร้อยละ 70-80
ส่วนเรื่องการควบรวมกิจการของทั้งสองแห่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2547 หลังจากจัดทำคำขอเสนอซื้อหุ้นคืนจากประชาชนคืนในเดือนกันยายน และหลังจากนั้นหุ้นอีจีวีก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนตุลาคม
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR กล่าวว่า การควบรวมกิจการระหว่างเมเจอร์และอีจีวีเข้าด้วยกันจะทำให้มูลค่าตลาดรวมสูงเกิน 10,000 ล้านบาท โดยทั้งเมเจอร์และอีจีวีจะยังคงให้บริการโรงภาพยนตร์ภายใต้ชื่อเมเจอร์และอีจีวีต่อไป โดยการรวมกิจการครั้งนี้มีเป้าหมายร่วมกันที่จะเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจภาพยนตร์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ลดต้นทุนทางด้านการเงินและการบริหารจัดการและถือเป็นโอกาสในการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ในประเทศให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากขึ้น และยังจะขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ออกสู่ต่างประเทศ โดยพิจารณาที่โฮจิมินห์ ซิตี้ ประเทศเวียดนาม เป็นประเทศแรก
นายวิชา กล่าวด้วยว่า สำหรับธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจโบว์ลิ่ง หรือฟิตเนส ที่เมเจอร์และอีจีวี มีบริการอยู่นั้น ทั้งสองฝ่ายจะไปหารือกับผู้ร่วมทุนอีกครั้งว่าจะร่วมมือกันอย่างไร ส่วนพนักงานของทั้งสองบริษัทไม่มีการปรับลด
“การรวมกิจการในครั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้ใครเสียหาย แต่เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและนำจุดแข็งของทั้งคู่มาเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจภาพยนตร์ ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้บริโภค เพราะจะได้ชมภาพยนตร์ที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งระยะเวลาการฉายภาพยนตร์จะนานขึ้นมากกว่า 1-2 สัปดาห์ เพราะไม่ต้องการแข่งขันในการฉายภาพยนตร์ที่ฮิตติดตลาดเพียงอย่างเดียว” นายวิชา กล่าว
นายวิชา กล่าวอีกว่า หลังการรวมกิจการแล้วจะไม่ผูกขาดตลาดโรงภาพยนตร์ โดยจะไม่ขึ้นค่าตั๋วหนัง แต่จะเพิ่มคุณภาพและบริการให้ผู้บริโภคมากขึ้น ส่วนความร่วมมือในการทำธุรกิจภาพยนตร์จะมีอะไรบ้างนั้นจะต้องใช้เวลาในการหารือกันอีกระยะหนึ่ง
ส่วนนายวิชัย พูลวรลักษณ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ EGVกล่าวว่า การควบรวมกิจการในครั้งนี้จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างชาติที่ปัจจุบันเข้ามาครองส่วนแบ่งธุรกิจที่สำคัญหลายอย่างในเมืองไทยจะเหลือเพียงธุรกิจที่ดินและธุรกิจบันเทิงที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การทำข้อตกลงรวมกิจการของเมเจอร์และอีจีวีใช้เวลาดำเนินการสั้นมาก โดยผู้บริหารทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันที่จะเพิ่มศักยภาพในธุรกิจโรงภาพยนตร์และลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนลง สำหรับมูลค่าการตลาด (มาร์เก็ต แชร์) ของทั้งสองแห่งรวมกันมีมูลค่าทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของตลาดภาพยนตร์ทั้งหมด ซึ่งรวมทั้งหนังแผ่นดีวีดีและวีซีดี ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวม 14,000 ล้านบาท แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะภาพยนตร์ที่ฉายในโรงหนังที่มีมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ทั้งสองค่ายก็จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดร้อยละ 70-80
ส่วนเรื่องการควบรวมกิจการของทั้งสองแห่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2547 หลังจากจัดทำคำขอเสนอซื้อหุ้นคืนจากประชาชนคืนในเดือนกันยายน และหลังจากนั้นหุ้นอีจีวีก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในเดือนตุลาคม