อดีตชื่อของ "เงือกเล็ก" ระวี อินทพรอุดม คือนักว่ายน้ำไทย ที่ผลงานดีมากในการแข่งขันซีเกมส์โดยเฉพาะท่าฟรีสไตล์ ที่กวาดเหรียญทองได้ทุกครั้งที่ลงแข่งขัน ซึ่งเธอลงแข่งขันซีเกมส์ครั้งแรกที่สิงคโปร์ ปี 1993 ในวัยเพียง 13 ขวบก็คว้าเหรียญทองได้แล้ว และก็ว่ายเรื่อยๆมาจนมารีไทร์ตัวเองในนามทีมชาติปี 2001 ซึ่งเป็นซีเกมส์ที่มาเลเซีย และเธอก็กวาดมาทั้งสิ้น 17 เหรียญทอง มากที่สุดของนักว่ายน้ำหญิงไทย
ปัจจุบัน "เงือกเล็ก" มีทายาทที่กำลังสืบทอดการเป็นนักว่ายน้ำก็คือ "น้องสปริ้นท์" ด.ญ.อรวี อินทพรอุดม ที่ตอนนี้ก็อายุ 12 ปีเช่นกัน และประเดิมคว้าเหรียญทองในนามเยาวชนทีมชาติไทยได้แล้วในศึกซีเอจกรุ๊ป 2025 โดยจุดเริ่มต้นนั้น "เงือกเล็ก" ที่เป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำ ได้สอนลูกสาวให้ว่ายน้ำ เพื่อจะได้เอาตัวรอดได้จากการจมน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นเพียงกิจกรรมยามว่างของครอบครัว แต่สิ่งที่เห็นคือ "เงือกเล็ก" สังเกตเห็นอะไรบ้างอย่างในตัวหนูน้อยสปริ้นท์ ในเรื่องท่าทางการจ้วงน้ำ เลยลองฝึกว่ายให้มากกว่านี้และก็ทำได้ดี
ระวี อินทพรอุดม ได้กล่าวว่า "ก็ทำทีมว่ายน้ำมาตั้งแต่ยังไม่มีลูก พอสปริ้นท์เกิดก็ให้อากงมาช่วยดูแลที่สระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นจังหวะที่เราหันไปแล้วอากงก็ไม่ได้ดูลูกเราอยู่ แล้วลูกเราหายไปไหนก็ไม่รู้ ก็เลยรู้สึกว่าอันตรายถ้าสปริ้นท์ว่ายน้ำไม่เป็นเพียงเสี้ยววินาทีมันก็อาจจะหมายถึงชีวิตของเขา เราก็เลยให้เขาเรียนว่ายน้ำ โดยตัวของเล็กเองก็บินไปออสเตรเลียเพื่อหาหลักสูตรการสอนว่ายน้ำเด็ก 1 ขวบ แล้วก็มาสอนลูกเอง จนเขาสามารถว่ายเข้าฝั่งได้ตั้งแต่ 1 ขวบ 6 เดือน หลังจากนั้นก็เลยเกิดเป็นโรงเรียนสอนว่ายน้ำสปริ้นท์ขึ้นมาก"
"พอสปริ้นท์ว่ายน้ำได้แล้ว ทางครอบครัวก็ไม่ได้วางเป้าหมายว่าจะต้องเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ เพราะตัวเล็กเคยเป็นนักกีฬามาก่อน มันรู้ว่าจะต้องเจออะไรบ้าง มันจะเหนื่อยขนาดไหน ซึ่งเราพายามพาลูกไปทำอย่างอื่น ไปเล่นดนตรี ไปเล่นกีฬาชนิดอื่น ไปเรียนศิลปะ แต่สุดท้ายด้วยความที่เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ตัวเขาก็เลยเลือกเองที่จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ"
ในเมื่อ "น้องสปริ้นท์" เลือกที่จะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ สิ่งที่ตามมาก็คือการจับจ้องของคนในวงการว่าตัวของหนูน้อยรายนี้จะเก่งเหมือนแม่เล็กหรือไม่ ซึ่งกลายเป็นแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา โดย "เงือกเล็ก" ได้เล่าว่า "มีหลายคนที่พูดว่าแม่เก่งขนาดนี้แล้วลูกจะโดนกดดันหรือเปล่า หรือ จะต้องเก่งให้ได้เท่าแม่ ซึ่งส่วนตัวเรารู้สึกว่าลูกไม่ได้โดนกดดัน แต่ลูกจะกดดันหรือเปล่าอันนี้เราไม่รู้ แต่ก็เคยพูดกับเขานะว่ารู้สึกกดดัน กับคนที่พูดว่าแม่เก่ง แล้วลูกจะเก่งเท่าแม่ไหม ซึ่งเขาก็บอกกลับมานะว่า หนูเก่งกว่าแม่อีก หนูเป็นเจ้าของสถิติประเทศไทย แสดงว่าหนูว่ายเก่งกว่าแม่แล้ว"
"ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมันก็จริงนะ เพราะเมื่อเราดู ก็รู้เลยว่าเขาว่ายดีกว่าเราเนอะ และจุดผิดพลาดของเราในอดีตก็เอามาปรับสอนเขาให้เหมาะสมกับสิ่งที่เขาจะต้องเป็น เราก็พยายามฝึกให้ว่ายได้ทุกท่า แต่เขาก็จะโดดเด่นเป็นบางช่วงเวลา เช่น อายุ 7 ขวบได้ท่าฟรีสไตล์ ตอน 8 ขวบได้ท่ากบ ซึ่งเขาก็จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ที่เขาว่ายกรรเชียงได้ ก็เป็นทางเลือกของเขาเอง เพราะเขารู้สึกมั่นใจในท่านี้และก็ทำได้ดีในท่านี้ แต่ส่วนตัวก็พยายามให้เขาว่ายท่าฟรีสไตล์ เพราะเป็นท่าพื้นฐานที่มีแข่งหลายระยะ แต่เขาก็ยังไม่โดดเด่นท่านี้"
แม้ว่า "น้องสปริ้นท์" จะไม่ได้เจริญรอยตาม "แม่เล็ก" ในการว่ายท่าฟรีสไตล์ แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือท่ากรรเชียงก็ทำได้ดีจนไปคว้าเหรียญทองซีเอจกรุ๊ปในระยะ 100 ม. กับ 200 ม. ซึ่ง "เงือกเล็ก" ก็รู้สึกภูมิใจมาก เพราะในความเป็นแม่ที่เห็นลูกได้เหรียญทองครั้งแรกในนามทีมชาติไทย ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้ แล้วยังทำลายสถิติประเทศไทยได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่เล็กคือ "น้ำตาไหล" ที่มาจากความดีใจและภูมิใจมาก
ด้าน "น้องสปริ้นท์" ด.ญ.อรวี อินทพรอุดม ดาวรุ่งที่จับตา ก็เคยรับรู้เรื่องราวของ "แม่เล็ก" เมื่อครั้งเป็นนักกีฬาทีมชาติ ได้เล่าให้ฟังว่า "หนูเป็นคนชอบถามเรื่องราวของพ่อกับแม่ แล้วมารู้ว่าแม่เป็นนักว่ายน้ำที่เก่งมากได้ 17 เหรียญทองซีเกมส์ คือแบบหนูก็อยากเป็นแบบแม่บ้าง แล้วมารู้ว่าแม่ได้เยอะที่สุดในประเทศไทย ก็เลยคิดว่าอยากเป็นแบบนี้บ้างแต่หนูจะต้องเก่งกว่า แต่หนูก็ไม่รู้สึกกดดันนะที่มีแม่เก่งแบบนี้ หนูมองว่าแม่เป็นไอดอลถ้าไปได้แบบแม่ก็ดีใจมากๆ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว"
แน่นอนว่าในความเป็นเด็กก็ย่อมที่จะมีกิจกรรมที่เด็กๆจะต้องทำกัน ไม่ว่าจะไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มเพื่อนในห้อง หรือ ไปเดินห้างเดินเล่น แต่ "น้องสปริ้นท์" ไปสามารถไปอยู่จุดนั้นได้เพราะต้องซ้อมว่ายน้ำ โดยหนูน้อยวัย 12 ขวบ ได้เปิดเผยว่า "ก็มีช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เพื่อนๆก็มาชวนไปเที่ยว แล้วหนูก็อยากไปมาก แต่ก็ไปไม่ได้เพราะติดแข่งซีเอจ ซึ่งก็มีมุมที่อิจฉาเพื่อนๆนะที่ได้ไปเที่ยว ไปทำกิจกรรมที่อยากทำ แต่หนูก็ต้องมาซ้อม แต่หนูก็บอกกับตัวเองนะว่าไม่เสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้ และหนูคิดว่าทำเพื่ออนาคต แต่ถ้าว่างจริงๆก็มีไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง ชอบไปที่สุดคือฮาร์เบอร์แลนด์"
ส่วนเรื่องที่ทำไมถึงชอบว่ายท่ากรรเชียงมากที่สุด ซึ่ง "น้องสปริ้นท์" ก็ให้คำตอบว่า "ตอนเด็กๆ หนูถนัดท่าฟรีสไตล์ แต่อยู่ๆ แม่ก็บอกว่า หนูจะเก่งกรรเชียงในอนาคต ซึ่งตอนนั้นหนูก็ไม่เข้าใจว่าจะเก่งยังไงเพราะหนูว่ายกรรเชียงก็แพ้เขาเป็น 10 วินาที จนมาถึงวันที่หนูอยากลองเปลี่ยนท่าว่ายลองทั้ง กบ ผีเสื้อ กรรเชียง เลยให้แม่ช่วยสอน ให้โค้ชช่วยดู พอไปๆมาๆ อ้าวได้เฉยเลย ก็เลยชอบกรรเชียง และที่หนูชอบกรรเชียงเพราะมันได้หายใจได้ตลอด ส่วนท่าฟรีสไตล์หนูชอบลืมหายใจ ส่วนระยะกรรเชียงที่มั่นใจที่สุดก็คือระยะ 200 ม."
ขณะที่ "แม่เล็ก" ได้กล่าวเสริมว่า "ที่บอกว่าอนาคตเขาจะเก่งกรรเชียง เพราะมีอยู่ครั้งนึง เราดันไปเห็นมือเขากวักใต้น้ำ ที่เขาทำแบบธรรมชาติมาก แล้วมันเอะใจว่าอาจจะมาทางกรรเชียง เลยให้มาฝึกดู ซึ่งผลงานก็ไม่ได้ดีเลยว่ายก็ไม่ติดเหรียญ จนสามีก็บ่นว่าทำไมให้ลูกว่ายกรรเชียง แต่ตนเองก็คิดแล้วว่าเราดูไม่ผิดแน่นอนสักวันมันต้องมา แล้วสุดท้ายเขาก็ว่ายได้ แล้วก็ว่ายดีกว่าที่คิดไว้ด้วย"
ผลงานในศึกซีเอจ 2025 ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า "น้องสปริ้นท์" ทำได้ดีมากในท่ากรรเชียง โดยสาวน้อยได้กล่าวถึงความประทับใจว่า "หนูรู้สึกดีใจมาก เพราะหนูตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก เพราะอยากได้เหรียญทอง ซึ่งผลที่ออกมามันก็คุ้มค่ากับการฝึกซ้อมมามากกว่าครึ่งปี แต่ก็ยังมีรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ดีกว่านี้ หลังจากนี้ก็จะไปพัฒนาเทคนิคต่อ โดยหวังว่าอีก 2 ปีข้างหน้าจะติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ และก็อยากไปโอลิมปิกเกมส์"
สำหรับ "แม่เล็ก-น้องสปริ้นท์" ถือว่าเป็นคู่แม่ลูกที่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แถมยังมีไทม์ไลน์ที่สอดคล้องกันอีก เช่น "เงือกเล็ก" ติดทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์ครั้งแรกปี 1993 ที่สิงคโปร์ แล้ว "น้องสปริ้นท์" ก็คว้าเหรียญทองครั้งแรกในนามทีมชาติไทยที่ซีเอจ สิงคโปร์ และ "เงือกเล็ก" อำลาทีมชาติไทยซีเกมส์ 2001 ที่มาเลเซีย แต่อีก 2 ปีข้างหน้า มาเลเซีย จะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ซึ่ง "น้องสปริ้นท์" ก็กำลังจะเริ่มต้นทีมชาติไทย
เราไม่ได้เห็นชื่อของ "ระวี อินทพรอุดม" บนสกอร์บอร์ดนานแล้ว ซึ่งเชื่อว่าแฟนๆกีฬา โดยเฉพาะแวดวงว่ายน้ำ มีโมเม้นที่ดีกับราชินีสระรายนี้ และอีกไม่นานคำว่า "อินทพรอุดม" กำลังจากกลับมา แต่จะมาในชื่อนำหน้าว่า "อรวี" อย่างแน่นอน