สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ออกมาประกาศให้ โมร็อกโก, สเปน และโปรตุเกส เป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดเวิลด์ คัพ 2030 หรือในอีก 6 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับ ซาอุดิอาระเบีย จะได้เป็นเจ้าภาพในเวิลด์ คัพ 2034 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า
ก่อนหน้านี้การแย่งชิงสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 มีด้วยกัน 2 เจ้า ได้แก่ โมร็อกโก, สเปน และโปรตุเกส กับอีกฝั่ง คือ อุรุกวัย, อาร์เจนติน่า และปารากวัย ซึ่งจะมีการแข่งขันรวมทั้งหมด 104 แมตช์ มีทีมร่วมฟาดแข้ง 48 ชาติ
ผลปรากฎว่า โมร็อกโก, สเปน และโปรตุเกส ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 อย่างไรก็ตามใน 3 แมตช์แรก จะแบ่งไปแข่งขันกันที่ อุรุกวัย, อาร์เจนติน่า และปารากวัย ตามลำดับ เพื่อฉลองครบรอบเวิลด์ คัพ 100 ปี จากการที่ อุรุกวัย เคยเป็นเจ้าภาพหนแรกเมื่อปี 1930
ขณะเดียวกัน ฟีฟ่า ยังประกาศรายชื่อชาติที่จะได้เป็นเจ้าภาพในปี 2034 ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย ตามความคาดหมาย โดยพวกเขาจะเป็นชาติจากตะวันออกกลางชาติที่ 2 ที่ได้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพเวิลด์ คัพ ต่อจาก กาตาร์ ที่เพิ่งจัดไปเมื่อปี 2022
อย่างไรก็ดีการเลือกให้ ซาอุดิอาระเบีย เป็นเจ้าภาพในปี 2034 แบบไร้คู่แข่ง ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะสื่อทางฝั่งยุโรป เนื่องจากมองว่า ซาอุฯ เป็นชาติที่มีปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน, การกีดกันสิทธิสตรี, ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก รวมไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศ และคดีการฆ่า จามัล คาช็อกกี นักข่าวในปี 2018 อีกด้วย
ซาอุดิอาระเบีย ได้มีการเผยโปรเจกต์การจัดการแข่งขันเอาไว้ล่วงหน้า เบื้องต้นจะใช้ 13 สังเวียน จาก 5 เมือง ได้แก่ ริยาด, เจดดาห์, อัล โคบาร์, อีบฮา รวมถึงเมือง นีออม เมืองยักษ์ใหญ่แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้าง และคาดว่ารอบชิงชนะเลิศจะฟาดแข้งกันที่ คิง ซัลมาน อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดียม ความจุ 92,760 ที่นั่ง