คอลัมน์ “Final Whistle" โดย "ผู้เล่นคนที่ 12"
ป่านนี้น่าจะทราบโฉมหน้า 16 อรหันต์เข้ารอบน็อกเอาต์ ยูโร 2024 พร้อมเห็นสายจนถึงรอบชิงชนะเลิศว่าเส้นทางใครเจอใครเป็นอย่างไรใครงานหนักแค่ไหน
โดยสปอตไลต์จับจ้องไปที่ "ม้ามืด" อย่าง ออสเตรีย ทั้งที่อยู่สายแข็งร่วมกับ ฝรั่งเศส รวมถึง เนเธอร์แลนด์ส แถมนัดแรกแพ้ "ตราไก่" ด้วยการยิงเข้าประตูตัวเอง ทว่าที่เหลือชนะ โปแลนด์ 3-1 กับชนะ "อัศวินสีส้ม" 3-2 คว้าแชมป์กลุ่ม D แบบหักปากกาเซียนทุกสำนัก
แน่นอนว่าก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ออสเตรีย แทบไม่อยู่ในสายตา แถมคุมทัพมาโดย ราล์ฟ รังนิก กุนซือที่ตอนแยกทางกับ แมนฯยู ถูกมองเหมือนตัวตลก
รังนิก เข้ารับงานคุม แมนฯยู แบบชั่วคราวเมื่อปลายปี 2021 ตอนนั้นสาวก "เรด เดวิลส์" เนื้อเต้นไม่น้อย เพราะคนนี้ได้รับการยกย่องว่าคือ "Godfather of the Gegenpress" หรือปรมาจารย์ด้านการเพรสซิ่ง ชนิดที่ว่าเหมือนเป็นต้นตำรับของกุนซือหลายคนรวมถึง เจอร์เกน คล็อปป์ นำมาใช้ทำทีม ลิเวอร์พูล จนประสบความสำเร็จ
รังนิก อยู่จนจบฤดูกาล 2021-22 กับ แมนฯยู โดยทีมจบอันดับ 6 อีกทั้งชนะแค่ 2 นัดจาก 10 นัดสุดท้าย ซึ่งมีความพ่ายแพ้แบบเสีย 4 ประตูให้กับ ลิเวอร์พูล และ ไบรท์ตัน รวมอยู่ด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแผนที่จะขึ้นเป็นผู้อำนวยการด้านเทคนิคเลยพังทลายไปด้วย
แมนฯยู คือทีมที่ 13 ระดับสโมสรที่ รังนิก รับงานกุนซือ น่าสนใจตรงที่อยู่กับทีมไหนไม่ได้นานเลย แถมก่อนมาเตะ ยูโร 2024 เจ้าตัวได้ปัดงานคุม บาเยิร์น มิวนิค
รังนิก นั้นส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ที่งานคุมทีมบนเวที บุนเดสลีกา เยอรมัน แต่ไม่เคยคุมทีมบิ๊กๆ เลย พอมีชื่อชั้นก็ สตุ๊ตการ์ท ชาลเก้ 04 และ ไลป์ซิก แชมป์ลีกสูงสุดก็ไม่เคยได้ พอจะมีก็แค่แชมป์ฟุตบอลถ้วยไม่กี่ใบ
ดังนั้นดูเหมือน รังนิก น่าจะเหมาะกับงานคุมทีมชาติมากกว่า เนื่องจากโปรแกรมไม่ต้องลงเตะทุกสัปดาห์เหมือนลีก ทำให้มีเวลาวิเคราะห์มองเกมและวางแผนการเล่น
อีกทั้งการคุมชาติเล็กๆ นั้นอาจจะเพราะกับสโมสรบิ๊กเนมอย่าง แมนฯยู เพราะนักเตะ ออสเตรีย จะเชื่อฟังคำสั่งของ รังนิก เล่นตามแผนที่วางไว้ไม่มีการต่อต้าน โดยครั้งหนึ่ง คริสเตียโน โรนัลโด เคยให้สัมภาษณ์ว่าหมอนี่เป็นใครตอนมารับงานที่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
เกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่ชนะ เนเธอร์แลนด์ส เห็นได้อย่างชัดเจนว่านักเตะ ออสเตรีย พอเสียบอลพยายามแย่งคืน ขณะที่ผู้เล่น ดัตช์ นั้นเริ่มอ่อนแรงชัดเจน
นอกจากเพรสซิ่ง ออสเตรีย ยังมีสถิติทำฟาวล์มากที่สุดในยูโร 2024 โดยทำได้ 49 ครั้งจาก 3 นัดที่ผ่านมา ซึ่งเน้นย้ำถึงความดุดันที่พวกเขาตามไล่บอลคู่ต่อสู้
ขณะที่นักเตะของ ออสเตรีย ชื่อชั้นที่คุ้นหูยอมรับว่ามีคนเดียวคือ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ กองกลางกัปตันทีมวัย 30 ปีที่เคยเล่นให้ แมนฯยู แบบยืมตัว อีกทั้งเพิ่งพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกคนคือกองหน้าจอมเก๋าวัย 35 ปี มาร์โก อาร์เนาโตวิช ส่วนที่น่าเสียดายอีกคนที่อดลงเล่นคือ เดวิด อลาบา กองหลังวัย 32 ปีของ เรอัล มาดริด เนื่องจากบาดเจ็บยาว
ออสเตรีย จะไปได้ไกลแค่ไหนใน ยูโร 2024 คือรอบ 16 ทีมสุดท้ายพบรองแชมป์กลุ่ม F ที่ตอนนี้คงรู้แล้วว่าเป็น ตุรกี เช็ก หรือ จอร์เจีย แน่นอนว่ามีโอกาสผ่านได้ ส่วนรอบลึกกว่านี้คืออยู่สายเดียวกับ อิตาลี รวมถึง อังกฤษ ดังนั้นเราอย่าเพิ่งไปมองไกลกว่านั้นเอาเป็นรอบๆ ไปดีกว่า
ขณะที่อีกสายของ ยูโร 2024 คือแข็งโป๊กทีมเต็งไปรวมอยู่ด้วยกันหมดเลยคือ สเปน เจ้าภาพเยอรมนี โปรตุเกส และ ฝรั่งเศส 4 ชาติที่เอ่ยชื่อมานี้จะมีชาติเดียวที่เข้าชิง
ส่วนชาติไหนที่อยากให้คว้าแชมป์คือ เบลเยียม โดยทุกทัวร์นาเมนต์ก่อนหน้านี้ถูกยกเป็นทีมเต็งตลอด แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ทั้งที่อัดแน่นไปด้วยนักเตะชื่อดังทั้งสิ้น ส่วนปีนี้ไม่ได้รับการจับจ้องมากก็ขอลุ้นหน่อยแล้วกัน อีกทั้งนักเตะหลายคนก็เริ่มโรยรา บางคนก็เริ่มนับถอยหลังลาทีมชาติกันแล้ว