คอลัมน์ “TKO" โดย "น็อกเอาต์ แมน"
เรียกเสียงฮือฮามิใช่น้อยสำหรับการประกาศไฟต์การ์ดของศึก K-1 เวิลด์ แม็กซ์ 2024 ในรุ่น 70 กิโลกรัม เมื่อปรากฎชื่อของ บัวขาว บัญชาเมฆ กำปั้นซูเปอร์สตาร์ระดับตำนานชาวไทย ที่จะคัมแบ็คขึ้นสังเวียนแห่งนี้อีกครั้ง
การกลับไปยังศึก K-1 ในครั้งนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นการคัมแบ็คสู่สังเวียนที่เรียกได้ว่าสร้างชื่อให้แก่เขาโด่งดังเป็นพลุแตกในยุคหนึ่ง โดยในพิกัดน้ำหนัก 70 กิโลกรัม ถือเป็นการกลับมาจัดดวลกำปั้นในรูปแบบของมวยรอบวันเดียวจบอีกครั้งในรอบ 10 ปี ซึ่งจะมีขึ้น ณ โยโยงิ ยิมเนเซียม 2 กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 7 กรกฎาคมนี้
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ บัวขาว เคยโด่งดังถึงขีดสุดกับการขึ้นชกใน K-1 เป็นอดีตแชมป์ 2 สมัย ซึ่งเจ้าตัวเคยได้แชมป์มาครองในปี 2004 และ 2006 พ่วงด้วยรองแชมป์ ปี 2005 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ในปี 2009 ส่วนในปี 2007 กับ 2008 ตกรอบก่อนรองชนะเลิศ (8 คนสุดท้าย)
ขณะเดียวกันช่วงที่ K-1 RISING World MAX ยกพลมาจัดกันที่เมืองพัทยา เมื่อปี 2014 เจ้าตัวได้ตำแหน่งรองแชมป์ไปครอง เมื่อพ่ายให้กับ เอ็นริโค เคห์ล จากเยอรมนี ในรอบชิงฯ ซึ่งหากใครยังจำกันได้ ณ เวลานั้น บัวขาว ต่อยกับคู่ชกครบ 3 ยก แล้วผลออกมาเสมอกัน แต่กำปั้นจากไทยไม่ยอมขึ้นมาชกต่อในยกที่ 4 ตามกติกาของ K-1
เวลานั้นถือเป็นข่าวใหญ่ที่ปรากฎตามหน้าสื่อจากการที่ บัวขาว บัญชาเมฆ ไม่ยอมขึ้นมาชกในยกที่ 4 เพราะมองว่าตลอดทั้ง 3 ยกนั้น ตนเหนือกว่าชัดเจน แต่ถูกตัดสินออกมาว่าเสมอ ซึ่งในเวลาต่อมามีคนเชื่อมโยงกับการที่เพจ K-1 ไทยแลนด์ โพสต์ลิงค์เว็บพนันทายผลการแข่งขัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่านักชกไทยไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าวที่ดึงตนไปเกี่ยวข้องกับการพนันถึงขั้นไปกองปราบเพื่อชี้แจง และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับการพนันทุกกรณี เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายระหว่าง บัวขาว กับ K-1 ในตอนนั้น
ตัดภาพกลับมายุคปัจจุบัน บัวขาว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนในแวดวงคิกบ็อกซิ่ง แม้อายุอานามจะเข้าหลัก 40 แต่เขาก็ยังมีรายการขึ้นชกอยู่เป็นประจำ และสามารถดูแลรักษาร่างกายคุมหุ่นของตัวเองให้ชกอยู่ในรุ่น 70 กิโลกรัมแบบสบายๆ เจ้าตัวยังคงฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น ณ ค่ายมวยของตัวเองที่จังหวัดเชียงใหม่
ขณะเดียวกันไฟต์หยุดโลกระหว่าง บัวขาว กับ แมนนี ปาเกียว ที่ประโคมข่าวกันอย่างใหญ่โตตั้งแต่ปีก่อนว่าจะชกกันแน่ในปี 2024 แต่ผ่านไปแล้วครึ่งปีก็ยังไม่มีวี่แววว่าทั้งคู่จะได้โปรแกรมชกกัน ดูแล้วคงเป็นแค่การ "ขายฝัน" ที่ถึงแม้ทั้งคู่จะมาประจันหน้ากันในงานแถลงข่าว แต่ท้ายที่สุดก็อาจจะไม่ได้ชกกัน
เมื่อมีไฟต์การ์ดของ K-1 ประกาศออกมา ก็มีแฟนมวยในโลกออนไลน์บางส่วนเข้าไปแย้งว่า "บัวขาว" ประกาศจะไม่ลงแข่งขันคิกบ็อกซิ่งแล้วนับตั้งแต่ไฟต์ที่เอาชนะ นายาเนซ ในศึก RWS แต่ถ้าฟังให้ดีเจ้าตัวพูดว่า "จะไม่ชกคิกบ็อกซิ่งในไทยแล้ว" แต่ถ้ามีข้อเสนอเข้ามาให้ไปชกต่างประเทศ เขาก็พร้อมจะรับอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งนี้มีการคาดกันว่า K-1 ยื่นข้อเสนอก้อนโตให้กับ บัวขาว ด้วยค่าตัวในหลักที่ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท โดยทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวจะเป็นการแข่งขันในรูปแบบมวยรอบวันเดียวจบ ต้องชนะ 3 แมตช์ ถึงได้แชมป์ไปครอง ซึ่งเจ้าตัวเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้วในตอนที่ตัวเองยังวัยรุ่น
ส่วนคู่ชกของ บัวขาว บัญชาเมฆ ในรอบ 8 คนสุดท้าย อย่าง เฟิง อู๋หยาน จากจีน วัย 26 ปี ถือว่ามีดีกรีที่ไม่ธรรมดา มีสถิติการชก ชนะ 38 แพ้ 3 ไฟต์ น็อก 21 ไฟต์ แจ้งเกิดกับรายการ คุนหลุน ไฟต์ ได้รับฉายาว่า "Western Poison" ปัจจุบันเป็นแชมป์ K-1 และอู๋ หลินเฟิง รุ่น 70 กิโลกรัม
หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่าในวัย 42 ปี เจ้าตัวจะไหวไหมกับการคัมแบ็คทัวร์นาเมนต์ K-1 อีกครั้งในรอบ 10 ปี ซึ่งก็ต้องบอกว่าเมื่อพิจารณาจากการดูแลร่างกายตัวเอง และการฟิตซ้อมของกำปั้นรายนี้แล้ว บัวขาว ก็ยังคงเป็นบัวขาว
ซึ่งดูแล้วอายุไม่ใช่อุปสรรคของการชกมวย การที่ "บัวขาว" จะจารึกประวัติศาสตร์เป็นนักคิกบ็อกซิ่งคนแรกของโลกที่คว้าแชมป์ K-1 World MAX ได้ถึง 3 สมัย ก็อาจมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน