ฟุตบอลคาราบาว คัพ ฤดูกาล 2023/24 รอบชิงชนะเลิศ คืนวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ สนามเวมบลีย์ เป็นการเจอกันระหว่าง "สิงห์บลูส์" เชลซี พบกับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ เกมนี้ไม่มีชื่อของ โม ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อลิสซอน เบ็คเกอร์, ดิโอโก โชตา, โดมินิค โซบอสซ์ไล, เคอร์ติส โจนส์ ที่บาดเจ็บทั้งหมด โดยเกมรุกใช้ โคดี กักโป, หลุยส์ ดิอาซ และฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ เป็น 3 ประสาน
ด้าน เชลซี ของกุนซือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน มีนักเตะหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่เป็นทุนเดิม ทั้ง ติอาโก ซิลวา, เบอนัวต์ บาเดียชิล, มาร์ค คูคูเรยา, รีซ เจมส์, เวสลีย์ โฟฟานา ส่วนคนอื่นๆ อยู่กันพร้อมหน้า ใช้ นิโคลัส แจ็คสัน ยืนหอกตัวเป้า โดยมี ราฮีม สเตอร์ลิง, โคล พาลเมอร์ ทำเกมริมเส้น
เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 33 เชลซี เกือบจะได้ประตูออกนำ จากการส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายของ ราฮีม สเตอร์ลิง แต่กลายเป็นลูกล้ำหน้าตั้งแต่จังหวะของ นิโคลัส แจ็คสัน เสียก่อน ทำให้เกมยังเสมอกัน 0-0 ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้
ครึ่งหลัง น.60 ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูออกนำจากลูกฟรีคิกทางกราบซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดมาให้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ขึ้นโหม่งเข้าประตูไป แต่เมื่อเช็ก VAR ปรากฎว่า วาตารุ เอ็นโด ผู้ที่เข้ามาขวางตัวประกบอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าเสียก่อน สกอร์ยังเป็น 0-0
เวลาที่เหลือ แม้ ลิเวอร์พูล จะบุกได้เยอะกว่า แต่ก็เจาะแนวรับของ เชลซี ไม่ได้ หมดเวลาการแข่งขัน 90 นาที เสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ "หงส์แดง" แม้จะเปลี่ยนตัวเอานักเตะเยาวชนลงเล่นหลายตำแหน่ง แต่ก็สามารถขึงเกมรุกใส่ เชลซี อยู่ตลอด ขณะที่ "สิงห์บลูส์" อาศัยวินัยในเกมรับ รอจังหวะสวนกลับได้ลุ้นอยู่บ้าง
เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่แล้วในนาทีที่ 118 ลิเวอร์พูล มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะลูกเตะมุม คอนสแตนตินอส ซิมิกาส เปิดให้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค วิ่งมาโฉบโหม่งที่เสาแรกหนีมือนายทวาร เชลซี เข้าไป
ช่วงที่เหลือไม่มีใครทำสกอร์กันเพิ่ม หมดเวลาการแข่งขัน 120 นาที ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ไปแบบหวุดหวิด 1-0 คว้าแชมป์คาราบาว คัพ หรืออีเอฟแอล คัพ เป็นสมัยที่ 10 โดยเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้ครั้งที่ 2 ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์