คริส เคิร์ก, เกรย์สัน เมอร์เรย์, นิค ดันแล็ป และมาติเยอ ปาวอน คว้าชัยชนะครั้งสำคัญในการประเดิมศักราชใหม่ฤดูกาล 2024
ช็อตมหัศจรรย์เหล็ก 5 หลุม 17 ส่งให้ คริส เคิร์ก ครองแชมป์เดอะ เซนทรีฯ
หลุม 17 ของสนามแพนเทชัน คอร์ส ที่คาปาลัว เป็นหลุมพาร์ 4 ดาวฮิลล์ ระยะ 548 หลา ที่มีทิวทัศน์สวยงาม แต่ก็เป็นหลุมสุดท้าทายกับการตีช็อตสองข้ามน้ำ และในการแข่งขันกอล์ฟเดอะ เซนทรี รอบสุดท้ายในวันอาทิตย์ มีสถิติพิสูจน์ให้เห็นจากระยะตีออนห่างหลุมเฉลี่ย 28 ฟุต 10 นิ้ว
คริส เคิร์ก ซึ่งเป็นผู้นำร่วมไม่สะทกสะท้าน แม้ทิศทางลมเปลี่ยน เขาตัดสินใจเปลี่ยนจากเหล็ก 7 มาใช้เหล็ก 5 ตีช็อตแอพโพรช ขึ้นไปออนห่างธงไม่ถึง 2 ฟุต และโปรกอล์ฟวัย 38 ปี ยกให้ช็อตดังกล่าวเป็นช็อตแห่งความทรงจำสำหรับเขา
การเก็บเบอร์ดี้สำคัญที่หลุม 17 ช่วยให้ เคิร์ก ประเดิมคว้าแชมป์ชิกเนเจอร์ อีเวนท์สของพีจีเอทัวร์รายการแรกจาก 8 รายการในฤดูกาล 2024 และเป็นแชมป์พีจีเอทัวร์ รายการที่ 6 ในอาชีพ โดยตลอดสัปดาห์ทำไป 30 เบอร์ดี้ เป็นสถิติทำเบอร์ดี้สูงสุดของในการเล่น 72 หลุมของโปรกอล์ฟจากรัฐจอร์เจีย และสถิติเก็บแต้มในหลุมพาร์ 4 เพียงอย่างเดียวได้ถึง 16 อันเดอร์พาร์ ก็เป็นผลงานดีที่สุดอันดับสองของแชมป์รายการเดอะ เซนทรีฯ นับตั้งแต่ปี 1999
ขณะเดียวกัน เคิร์ก ยังมีเปอร์เซ็นต์การพัตต์เบอร์ดี้และเซฟพาร์สำเร็จอยู่ที่ 99.67 เป็นตัวเลขสถิติที่ดีที่สุดของเขา และดีกว่าแชมป์คนอื่นๆ ที่คาปาลัว นับตั้งแต่ปี 1999 นอกจากนี้เขายังเสียเพียงโบกี้เดียวตลอดการแข่งขันทั้งสัปดาห์ โดยเกิดขึ้นในการเล่นที่หลุม 39 และหลังจากนั้นเขาแก้คืนด้วยการทำ 4 เบอร์ดี้ใน 5 หลุมถัดไป โดยปิดฉากรอบสุดท้ายผลงาน 8 อันเดอร์พาร์ 65 เฉือนชนะ ซาฮิธ ธีกาลา หนึ่งสโตรก สกอร์เฉลี่ยต่อรอบ 66.67 เป็นสถิติสกอร์เฉลี่ยต่ำสุดต่อรอบของพีจีเอทัวร์ นับตั้งแต่ปี 1983
เกรย์สัน เมอร์เรย์ พัตต์เฉียบคมผงาดแชมป์โซนี่ โอเพ่น ที่ฮาวาย
เกรย์สัน เมอร์เรย์ ออกสตาร์ทการแข่งขันที่ไวอาเล คันทรี คลับ ไม่ดีนัก เสียโบกี้หลุมที่ 3 ในการเล่น 5 หลุมแรก แต่พลิกสถานการณ์กลับมาได้เมื่อเก็บเบอร์ดี้แรกของวันสำเร็จที่หลุม 9 พาร์ 5 และจากนั้นก็ทำได้ดีต่อเนื่องจนสามารถคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์รายการที่ 2 ในอาชีพมาครองได้สำเร็จ
เมอร์เรย์ มีผลงานในสองหลุมพาร์ 5 ของสนามไวอาเล รวมถึงการทำเบอร์ดี้ที่หลุม 18 ในรอบสุดท้ายวันอาทิตย์ได้ไปเพลย์ออฟลุ้นแชมป์กับ คีแกน แบรดลีย์ และอัน เบียง ฮุน จากนั้นมาทำเบอร์ดี้อีกครั้งในการดวลเพลย์ออฟหาแชมป์ที่หลุม 18 จากระยะ 38 ฟุต 7 นิ้ว ขณะที่แบรดลีย์ และอัน พัตต์ไม่ลงจากระยะ 17 ฟุตและ 4 ฟุต ตามลำดับ
โปรกอล์ฟวัย 30 ปี เก็บเพิ่มรอบสุดท้ายได้อีก 3 อันเดอาร์ 67 รวมสี่วัน 14 อันเดอร์พาร์ และผลงานตลอดสัปดาห์ เมอร์เรย์ มีสถิติการเล่นหลุมพาร์ 5 เป็นอันดับหนึ่ง (9 อันเดอร์พาร์) เก็บเบอร์ดี้หรือทำได้ดีกว่า (100 เปอร์เซ็นต์) และคะแนนเฉลี่ย (3.88)
แต่ไม่ใช่หลุมพาร์ 5 เท่านั้นที่โดดเด่น เมอร์เรย์ ยังมีสถิติ Strokes Gained: Off the Tee and Tee to Green เหนือกว่านักกอล์ฟคนอื่นๆ ในสนามนี้ และมีสถิติกรีนอินเรกูเรชันส์ เป็นอันดับสอง คิดเป็น 79.17 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นสถิติดีที่สุดเป็นอันดับสองของเขาในการเล่นอาชีพด้วย (ทั้งสองครั้งนำสู่การคว้าแชมป์)
แชมป์ดิ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส เปลี่ยนชีวิต นิค ดันแล็ป
ชัยชนะของ นิค ดันแล็ป ในรายการดิ อเมริกัน เอ็กเพรส สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักกอล์ฟมือสมัครเล่นคนที่ 9 นับตั้งแต่ปี 1940 ที่คว้าแชมป์พีจีเอทัวร์มาครอง และเป็นคนแรกในรอบ 33 ปี นับตั้งแต่ ฟิล มิเคลสัน ชนะเลิศรายการ นอร์ธเทิร์น เทเลคอม โอเพ่น ในปี 1991 ซึ่งเป็นเวลา 12 ปีก่อนที่ดันแล็ปจะลืมตาดูโลก
ดันแล็ป ปัจจุบันในวัย 20 ปี 29 วัน ยังกลายเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่นอายุน้อยที่สุดคนที่ 7 ที่ชนะรายการพีจีเอทัวร์ นับตั้งแต่ คริส อีแวนส์ ทำได้ในรายการเวสเทิร์น โอเพ่น ในปี 1910 โดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอลาบามา ตัดสินใจเทิร์นโปรในสัปดาห์ต่อมา หลังขึ้นครองมือหนึ่งในระบบโปรแกรม PGA TOUR University และได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันในพีจีเอทัวร์ไปจนจบฤดูกาล 2026
ขณะเดียวกันการคว้าแชมป์ของดันแล็ป เกิดขึ้นในลงเล่นในพีจีเอทัวร์ รายการที่ 4 เท่านั้น และมีนักกอล์ฟเพียง 5 คนที่ลงเล่นน้อยกว่าแล้วได้แชมป์รายการแรก สถิติที่น่าสนใจก็คือ ดันแล็ป ซึ่งเป็นแชมป์ยูเอส อเมเจอร์ ปีนี้ ไม่ผ่านการตัดตัวในการลงแข่งในศึกพีจีเอทัวร์ 3 รายการก่อนหน้านี้
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ดันแล็ปคว้าแชมป์สำเร็จอยู่ที่รอบสาม ในการเล่นที่สนามลา ควินตา คันทรีคลับ ซึ่งเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมหวดเพิ่ม 10 อันเดอร์พาร์ 60 จากการทำ 10 เบอร์ดี้ 1 อีเกิ้ล และทำสถิติเทียบเท่า แพทริค คานต์เลย์ ในฐานะนักกอล์ฟสมัครเล่นที่ทำสกอร์ต่ำสุดต่อรอบ ในพีจีเอทัวร์ โดยคานต์เลย์ ที่ก้าวไปคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์ 8 ราย และแชมป์เฟดเอ็กซ์คัพ ในปี 2021 เคยตี 10 อันเดอร์พาร์ ในการแข่งขันรอบสองรายการทราเวเลอร์ส แชมเปี้ยนชิพ ปี 2011
ผลงานรอบที่สามส่งให้ ดันแล็ป ซึ่งเสียเพียงโบกี้เดียวในสามวันแรก ขึ้นนำ 3 สโตรก ในการเข้าสู่การเล่น 18 หลุมสุดท้าย ก่อนปิดฉากด้วยชัยชนะเหนือคู่แข่ง 1 สโตรก ทำสกอร์รวม 29 อันเดอร์พาร์ เป็นสกอร์ต่ำสุดของนักกอล์ฟสมัครเล่นในพีจีเอทัวร์ นับตั้งแต่ปี 1983 และดีกว่าสถิติเดิม 11 สโตรก
มาติเยอ ปาวอน ซิวแชมป์พีจีเอทัวร์แรกในรายการฟาร์เมอร์ส อินชัวแรนซ์ โอเพ่น
มาติเยอ ปาวอน ใช้เวลา 7 ปีกับการลงเล่นในยุโรป ก่อนคว้าแชมป์ดีพี เวิลด์ ทัวร์ รายการแรก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้วในการแข่งขันรายการ Acciona Open de Espana แต่โปรหนุ่มชาวฝรั่งเศสไม่ต้องรอนานเมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกในพีจีเอทัวร์ปี 2024
ปาวอน ลงเล่นในฐานะสมาชิกพีจีเอทัวร์เป็นรายการที่ 3 เท่านั้น (รวมทั้งหมด 11 รายการ) เมื่อเขาทำเบอร์ดี้หลุม 18 ที่สนามเทอร์เรย์ ไพนส์ คว้าแชมป์ฟาร์เมอร์ส อินชัวแรนซ์ โอเพ่น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับศึกดีพี เวิลด์ ทัวร์ ซึ่งเขาลงเล่น 185 รายการ กว่าจะได้แชมป์แรก
โปรกอล์ฟหนุ่มจากฝรั่งเศสวัย 31 ปี ยิงเบอร์ดี้ระยะ 5 ฟุตที่หลุม 18 แก้มือจากที่เสียโบกี้หลุม 17 และปิดฉากรอบสุดท้ายด้วยกอร์ 3 อันเดอร์พาร์ 69 ทำสกอร์รวม 13 อันเดอร์พาร์ มีสถิติตีเฉลี่ยสามรอบแรกที่สนามนี้ 68.7 เป็นสถิติสกอร์เฉลี่ยต่ำสุดของแชมป์รายการนี้ เทียบเท่า จอน ราห์ม นับตั้งแต่ปี 2003
ปาวอน ได้พีจีเอทัวร์การ์ด หลังจบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 ในปีแรกที่ให้สิทธิ์นักกอล์ฟจาก 10 อันดับแรกของดีพี เวิลด์ ทัวร์ เข้าไปแข่งในพีจีเอทัวร์ และประเดิมซีซั่นด้วยอันดับ 7 ที่ฮาวาย จากนั้นในรายการดิ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส เขาทำ 25 เบอร์ดี้ เป็นสถิติทำเบอร์สูงสุดในอาชีพของเขาในพีจีเอทัวร์ และอีก 21 เบอร์ดี้ที่ทอร์เรย์ ไพนส์
ในการแข่งขันตลอดสัปดาห์ที่ทอร์เรย์ ไพนส์ ปาวอน สร้างโอกาสทำเบอร์ดี้มากมาย มีสถิติกรีนอินเรกูเรชั่น 40 จาก 54 และมีค่าเฉลี่ย Strokes Gained: Putting อยู่ที่ +1.99 เป็นสถิติดีที่สุดเป็นอันดับสามของตำแหน่งแชมป์รายการนี้นับตั้งแต่ปี 2004 นอกจากนี้เขายังมีสถิติพัตต์ระยะไกลดีที่สุดในสนาม พัตต์ลง 7 ครั้งจากระยะมากกว่า 20 ฟุต