ชื่อของ "น้องมินนี่" สิตาวีร์ ลิ้มนันทรักษ์ ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ในฐานะนักซิ่งสาวที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย เมื่อล่าสุดเธอเข้าป้ายคว้าแชมป์ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ค วันเมคเรซ 2023 ในคลาสซี ภายใต้สังกัด Nexzter rest Club Singha Sittipol
จากผลงานกระฉ่อนที่สามารถเอาชนะนักขับชายจนคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ หลายคนย่อมอยากรู้ว่าสาวน้อยคนนี้เป็นใครมาจากไหน ซึ่งก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่เธอจะมีลีลาการขับอันดุเด็ดเผ็ดร้อนขนาดนี้ เพราะ "มินนี่" คือทายาทแท้ๆของ เกรียงไกร ลิ้มนันทรักษ์ อดีตนักแข่งรถยนต์ทางเรียบแชมป์ประเทศไทย 9 สมัย ถือเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ "มินนี่" ออกสตาร์ทเส้นทางสายนักแข่งตั้งแต่เมื่อตอนขับรถโกคาร์ท เธอสามารถคว้าแชมป์ได้ 3 ปีซ้อน ด้วยวัยเพียงแค่ 10 ขวบ จะเรียกได้ว่าเธอมีดีเอ็นเอนักซิ่งส่งต่อมาจากคุณพ่อเกรียงไกรก็ไม่ผิด
ย้อนกลับไปสมัยเด็กคุณพ่อเผยว่า "มินนี่" ชอบให้พาไปสวนสนุก และชอบเล่นรถไฟเหาะตั้งแต่เด็กๆ เอาเป็นว่าเมื่อถึงอายุที่สามารถเล่นรถไฟเหาะได้เธอก็เดินขึ้นไปเล่นเครื่องเล่นนั้นทันที ขณะเดียวกันในเรื่องของการขับรถ คุณพ่อก็มักจะเอาเธอมานั่งตัก และขับไปพร้อมๆกัน ซึ่งนั่นก็ทให้เธอได้จับพวงมาลัยตั้งแต่เด็ก
สมัยที่เธอแข่งรถโกคาร์ทฝีมือถือว่าหาตัวจับยากมากๆ ซึ่งเธอก็ไม่หวั่นแม้จะต้องประชันฝีมือกับผู้ชาย เพราะเธอสามารถเอาชนะได้ทั้งหมด โดย "มินนี่" ในวัย 15 ปี คว้าแชมป์ประเทศไทยไปครองได้ถึง 3 สมัยซ้อม ซึ่งจัดการแข่งขันโดยราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) รับถ้วยพระราชทานรัชกาลที่ 10
แถมย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 หรือเมื่อ 5 ปีก่อน ยังได้เป็นตัวแทนนักแข่งทีมชาติไทยไปทำชื่อเสียงให้กับประเทศ คว้าถ้วยรางวัล First Lady ในรายการ IAME International World Final ซึ่งเป็นนักแข่งหญิงเอเชียคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ที่สนามเเข่งเลอมังส์ ประเทศฝรั่งเศส
มินนี่ ให้สัมภาษณ์เปิดใจว่า "สมัยก่อนคุณพ่อให้ไปลองขับโกคาร์ทที่สนาม RCA แล้วรู้สึกชอบ ก็เลยเริ่มแข่งตั้งแต่ตอนนั้นเลย ประมาณช่วง 10 ขวบ ตอนแข่งโกคาร์ทได้แชมป์ประเทศไทย 3 สมัย รองแชมป์เอเชีย แล้วก็ได้รางวัลระดับโลกอีกเยอะแยะมากมาย"
"ขับโกคาร์ทสักพัก ก็ขยับขึ้นมาแข่งรถยนต์ตอนอายุ 16 ปี ความแตกต่างมันไม่ก็ไม่มีอะไรมากเท่าไหร่ รถยนต์มันจะเหนื่อยน้อยกว่าโกคาร์ท อาจต่างกันที่โกคาร์ทหลังคามันโล่งๆ แต่รถยนต์มันมีหลังคาหุ้มเรา"
ซึ่งเมื่อเธอขยับจากนักแข่งโกคาร์ทมาเริ่มแข่งรถยนต์ ลงสนามในรายการแรกก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทันทีเมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยการคว้ารองแชมป์โตโยต้า เลดี วัน เมคเรซ ก่อนที่ในปีต่อมาเธอจะมาแก้ตัวคว้าแชมป์รายการเดียวกันไปครองได้สำเร็จ พ่วงด้วยแชมป์เอ็นดูรานซ์อีกต่างหาก
"ที่หันมาเป็นนักแข่งรถอย่างจริงจังก็เพราะว่าความชอบด้วยค่ะ ขับครั้งแรกก็ชอบเลย แล้วคุณพ่อเมื่อก่อนแข่งรถอยู่แล้ว เขาก็เลยอยากให้เราเป็นนักแข่งเหมือนเขา" สิตาวีร์ ลิ้มนันทรักษ์ กล่าว
"คุณพ่อมักจะสอนเทคนิค และวิธีการขับของเขาให้เราได้เรียนรู้อยู่เรื่อยๆ ถ้าถามถึงเป้าหมายปีหน้าตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ก็คงลงแข่งต่อไปเหมือนเดิม"
ขณะที่ เกรียงไกร ลิ้มนันทรักษ์ อดีตนักแข่งรถยนต์ทางเรียบแชมป์ประเทศไทย 9 สมัย ที่ถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาจนสามารถคว้าแชมป์รายการต่างๆ มาครอง ก็พูดถึงลูกสาวคนนี้เหมือนกัน
"เอาจริงๆ เขาไม่ได้มีแววอะไรที่จะมาเป็นนักแข่งรถเลย ย้อนกลับไปตอนเขา 7 ขวบ เราพาเขาไปที่สนามพีระเซอร์กิต มันมีสนามโกคาร์ทอยู่เราก็จูงเขาไป ถามว่าชอบไหม เขาส่ายหน้าอย่างเดียวเพราะสังคมส่วนใหญ่มีเด็กผู้ชายทำให้เขาขาดความมั่นใจ และก็ไม่ได้สนใจเรื่องรถเลยตั้งแต่เล็ก"
"จนมาวันหนึ่งลูกของเพื่อนรุ่นพี่ให้ผมไปสอน เขาจะขับโกคาร์ท อายุประมาณ 6-7 ขวบ ส่วนมินนี่อายุ 9 ขวบกว่า เราก็เห็นว่าไหนๆ มือข้างหนึ่งก็จูงลูกเพื่อนไป มืออีกข้างเราก็จูงลูกสาวเราไปด้วยแล้วกัน พอลงไปขับโกคาร์ทที่สนาม RCA ตอนนั้นมีรถเด็ก เขาก็รู้สึกชอบขึ้นมาทันที เหมือนจุดไฟในตัวเขาเลย"
"ตั้งแต่วันนั้นน่าจะช่วงปี 2016 มันจะมีรายการแข่งขันโกคาร์ทของทรู เราก็ถามเขาว่าเอาจริงๆใช่ไหม เขาบอกว่าเอาจริง เราก็จับเขาฝึกซ้อมจริงจังเลยเพื่อเริ่มแข่งขันโกคาร์ทรายการของทรูในปีต่อมา แต่มันก็ต้องคัดเลือกตั้งแต่ในปีนั้น จาก 1,000 คน เหลือ 20 คน ได้ที่ 1 มาตลอด ทั้งๆที่เป็นผู้หญิงอยู่คนเดียว เราฝึกสอนเขาด้วยตัวเองเลย"
"ส่วนหนึ่งเหมือนเขาก็มีพรสวรรค์ของเขาอยู่แล้วเราก็ต้องยอมรับ เขามีความกล้า และไม่มีความกลัว นั่นคือคุณสมบัติของนักแข่งที่ดี เขาชอบเล่นอะไรผาดโผนอยู่แล้ว เช่น รถไฟเหาะตีลังกาที่ดิสนีย์แลนด์เขาก็ไปเข้าคิวเพื่อจะขึ้นไปเล่น ต้องเข้าคิวท่ามกลางสภาพอากาศ 5 องศา เขาก็ยอม" คุณพ่อเกรียงไกร เผยถึงเรื่องราวของลูกสาว
นอกจากนี้อดีตนักแข่งรถยนต์ทางเรียบแชมป์ประเทศไทย 9 สมัย ยืนยันว่าพร้อมสนับสนุน "น้องมินนี่" ไปเรื่อยๆ เพราะเธอชอบ และประสบความสำเร็จมาตลอดนับตั้งแต่เลื่อนขึ้นมาแข่งรถยนต์ ก็อาจมองหาช่องทางการส่งไปแข่งต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งก็น่าเสียดายที่ประเทศไทยยังไม่มีการแข่งขันในระดับฟอร์มูล่า
ทั้งนี้การแข่งขันในระดับฟอร์มูล่า จะเป็นการเก็บคะแนนสะสมไปเรื่อยๆเพื่อไต่เต้าไปในระดับที่สูงขึ้น ไล่ตั้งแต่ฟอร์มูล่า 4, 3, 2 จนถึงฟอร์มูล่าวัน ซึ่งดูตามความเป็นจริงคุณพ่อเกรียงไกรก็ยอมรับว่ายังห่างกับระดับนั้น และคงไปไม่ถึงเพราะมันเป็นเรื่องที่ยากมาก
"จริงๆ เคยมีทีมหนึ่งจากอิตาลีมายื่นข้อเสนอให้ มินนี่ ไปแข่งที่นั่น เพราะเขากำลังหานักแข่งผู้หญิงในระดับฟอร์มูล่า แต่พอตัดสินใจแล้วเขาเป็นลูกสาวคนเดียว ไหนจะเรื่องเรียนอีกอะไรอีก ถ้าไปที่นู่นแข่ง 7-8 สนาม เราต้องบินไปบินกลับทุกเดือน ซีซั่นเปิดมีนาคม จนเดือนพฤศจิกายน เราไม่น่าจะไหว และเขาเป็นเด็กผู้หญิงด้วย เราไม่อยากให้เขาไปคนเดียว ก็เลยตัดสินใจว่าส่งแข่งรายการในไทยดีกว่า"
"เอาเป็นว่าในช่วงที่ผ่านมาผมก็ไม่คิดว่า มินนี่ จะเดินมาถึงตรงนี้ด้วยซ้ำ เราไม่ได้เข้าข้างลูกนะ แต่ถามว่าเชียร์ไหมก็เชียร์ ตอนแรกคิดแค่ว่าเขาไปได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น เพื่อแค่ว่าเขาจะได้มีเบสิคในการขับรถ แต่เขาดันประสบความสำเร็จทุกปี เอาชนะนักขับชายแบบสบายๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่หายาก ผู้สนับสนุนก็ช่วยกันมาเรื่อยจนมีทุกวันนี้" เกรียงไกร ลิ้มนันทรักษ์ กล่าวทิ้งท้าย
เป้าหมายในระยะสั้นของ "มินนี่-สิตาวีร์" คือการได้ขึ้นไปแข่งในรุ่นใหญ่ร่วมกับนักแข่งมืออาชีพคนอื่นๆ ส่วนในระดับฟอร์มูล่าเธอก็แอบหวังเล็กๆ ในการได้ไปลุยในระดับฟอร์มูล่า 3 ก็น่าจะเพียงพอ แฟนกีฬาความเร็วชาวไทยก็คงต้องส่งใจไปช่วย และตามลุ้นตามเชียร์ให้เธอมีผลงานให้ออกมาดีที่สุดในทุกรายการหลังจากนี้
สุดท้ายนี้นอกจากแรงผลักดันจากครอบครัวแล้วก็ได้รับอีกการสนับสนุนที่สำคัญไม่แพ้กันจากผู้ใหญ่ใจดีทั้ง สันติ ภิรมย์ภักดี จากบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ และ ทนงลี้ อิสระนุกูล ซึ่งทางด้าน "น้องมินนี่" รวมถึงคุณพ่อกับคุณแม่ ก็อยากจะใช้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งด้วย