หากเอ่ยถึง สุทัศน์ ม่วงมัน หลายคนอาจจะสงสัยว่าเป็นใคร แต่หากพูดถึงชื่อ "เทรนเนอร์เก" แฟนหมัดมวยหลายต่อหลายคนน่าจะคุ้น และรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเขาคนนี้คือเทรนเนอร์คู่ใจของ "ซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน" อดีตแชมป์โลกคิก บ็อกซิ่ง รุ่นเฟเธอร์เวต ในศึกวัน แชมเปียนชิพ แถมยังช่วยซ้อมให้ "น้องโอ๋ ฮามามวยไทย" อดีตแชมป์โลกมวยไทย รุ่นเบนตัมเวต รวมไปถึงกำปั้นชาวไทยอีกหลายคน
นอกจากนี้ "เทรนเนอร์เก" ยังถือเป็นหนึ่งในอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยที่มีผู้ติดตามในเฟซบุ๊กมากถึง 1.6 ล้านคน ด้วยลีลาการฝึกซ้อมที่ไม่เหมือนใคร มีความดุดัน เกรี้ยวกราด ถูกอกถูกใจแฟนหมัดมวยทั้งไทยและเทศ จากจุดเริ่มต้นการตั้งกล้องถ่ายตัวเดียวโดยไม่ต้องตัดต่อ และอัพขึ้นโซเชียลทันที ทำให้แฟนๆได้เห็นถึงความเรียล จนได้รับความสนใจไปทั่วโลก
ปัจจุบันชื่อของ "เทรนเนอร์เก" โด่งดังไปถึงระดับโลก ชาวต่างชาติหลายต่อหลายคนต้องการจะเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่กว่าที่เขาจะมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้ อดีตนักมวยไทยจากจังหวัดนครสวรรค์รายนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมาแทบทุกอย่าง ทั้งไลฟ์สไตล์วัยเด็กที่ค่อนข้างเกเร มีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นไปทั่ว ต้องเลิกมวยอย่างรวดเร็ว บวชเรียนยาวนานถึง 10 ปี เพราะต้องการตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก จนวนกลับมาสู่วงการมวยไทยอีกครั้ง วันนี้เราจะพาไปเปิดอกพูดคุย และรู้จักตัวตนของเขาคนนี้ให้มากยิ่งขึ้น
- ชีวิตลำบาก เป็นเด็กวัด ค่อนข้างเกเร
"สมัยก่อนลำบากมาก อยู่กับตายาย เป็นเด็กวัด เรียนโรงเรียนใกล้ๆวัด พอมีงานวัดมันก็จะมีมวยชก เราไปเห็นเราก็ชอบ อยากจะขึ้นไปเปรียบมวยหาค่าขนมเหมือนคนอื่นๆ เราก็รู้จักมวยไทยจากวัดนี่แหละ ชอบมุดเข้าไปดูเขาต่อยมวยกัน จริงๆเขาขายบัตรนะแต่ผมไม่มีเงินซื้อเลยต้องมุดไปดู พอนานวันเข้าก็รู้จักกับคนนั้นคนนี้ บางทีเขาขาดคู่ชกเราก็อาสาขึ้นไปชกไปเปรียบมวยกับเขา เราเริ่มต้นต่อยมวยจริงๆ 5-6 ขวบ ก่อนหน้านี้เราไม่ได้อยู่กับครอบครัวตลอด ค่อนข้างมีอิสระ อยู่วัดบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง เมื่อก่อนเด็กวัดมันเยอะเราก็เลยอาจจะติดความเกเรจากเพื่อนฝูงมาบ้าง จริงๆอยู่ในวัดเราก็มีระเบียบในระดับหนึ่งนะ แต่สังคมมันเป็นแบบนั้น เมื่อก่อนผมไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ไม่ค่อยเรียนหนังสือด้วย จะไปนอนบ้านเพื่อน และไปอยู่ค่ายมวยแถวบ้านตั้งแต่เด็กเพราะที่นั่นมีที่พักฟรี มีข้าวให้กินฟรี"
- สังกัดค่ายว.ทวีเกียรติ เลิกชกมวยเร็วเพราะอาการบาดเจ็บ
"เราชกตั้งแต่ 5-6 ขวบก็จริง แต่ก็เลิกชกเร็วเหมือนกัน เมื่อก่อนเราก็ชกแบบไม่มีค่าย ชกไปเรื่อย ไม่ได้ซ้อมแบบถูกต้อง เขาจับไปเปรียบมวยที่ไหนเราก็ไป ทีนี้มีครูที่เขาเป็นเทรนเนอร์เขาเห็นว่าเราเข้าท่าดี น่าจะสู้คนอื่นได้ รูปร่างดี เลยชวนไปอยู่ค่าย ตอนนั้นเราไปอยู่ค่ายของท่านทวีเกียรติ สุวรรณทรรภ ค่ายว.ทวีเกียรติ เราก็รู้สึกว่าเราได้เพื่อนอีกสังคมหนึ่ง แตกต่างจากสังคมเด็กวัด มันคนละอย่างกันเลย แต่อย่างที่บอกอยู่ที่นี่ผมชอบ มีที่พักให้อยู่ฟรี มีข้าวให้กินฟรี จนตอนหลังได้ขึ้นชกที่เวทีมวยราชดำเนิน ก็ถือเป็นความฝันของนักมวยบ้านนอกอย่างผม แต่ด้วยอาการบาดเจ็บก็ต้องทำให้เลิกเร็ว"
- จากเด็กเกเร สู่การบวชเรียนยาวนานถึง 10 ปี
"เลิกชกมวยตอนแรกผมยังไม่ได้บวช ผมทำตัวสุดมาก เกเรสารพัด เที่ยวกลางคืน อบายมุขทุกอย่างผมลองหมด ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ยังไม่ได้เข้าบ้านใหญ่ (ถลำลึกแบบสุดๆ) พอเวลาผ่านไปแล้วผมอายุครบบวชพอดี แม่ผมก็ขอมาว่าก่อนจะมีเมียก็มาบวชให้ก่อน ผมเลยตั้งใจมาบวช ตอนนั้นผมมีแฟนด้วย คิดว่าจะบวชแค่ 7 วัน พอเข้าประตูวัดไปก็รู้สึกว่ามันเงียบ สงบ ไม่วุ่นวาย มีความสุขโดยอัตโนมัติ เลยอยากจะศึกษาธรรมะให้ครบ 1 พรรษา อยากจะรู้ว่าพระมีกิจกรรมอะไรบ้างเลยเรียนรู้มาเรื่อยๆ รู้สึกว่าชอบ สบายใจ และอยู่ได้ พอครบพรรษาแรกเราก็โอเคอยู่ต่ออีกพรรษา ไปทำกิจกรรมของคณะสงฆ์ นั่งรถไปทั่วประเทศไทย ไปศึกษาอาจารย์คนไหนสักเก่ง มีวิชาต่างๆ เราก็ไปกราบไปไหว้ไปเรียนรู้ไปเดินสาย เราชอบแนวนี้ไปๆมาๆก็อยู่ครบ 10 ปี หรือ 10 พรรษา"
- เลิกบวช และกลับเข้าสู่วงการมวยอีกครั้ง
"ช่วงหลังของการบวชผมก็กลับมาที่บ้านบ่อย พอเจอเพื่อนเก่าๆ ที่เป็นนักมวย เขาก็มาชวนว่ามาเป็นเทรนเนอร์ไหม มาช่วยจับเป้าหน่อย มันมีรายการแข่งเยอะนะ พอผมออกจากป่าจิตใจผมก็เริ่มรู้สึกโลเล เห็นโลกภายนอกเยอะจิตก็ยิ่งตก เหมือนดินพอกหางหมู จากนิ่งกลับกลายเป็นอยาก เห็นสภาพแวดล้อมของครอบครัวแล้วอาจไปต่อไม่ไหว พ่อกับแม่ทำงานกันไม่ได้แล้ว เลยคิดอยากจะออกมาช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้านตอนอายุ 30 กว่า จนเข้าสู่วงการมวยอีกครั้งด้วยการเป็นคนจับเป้าให้กับนักมวย"
- ไม่อยากเรียกตัวเองว่าเทรนเนอร์ เป็นแค่คนจับเป้า
"ผมไม่อยากยกตัวเองเป็นครู คือเราเอาใจเข้าว่า เราเตะเป้าตั้งแต่เด็ก ซึ่งจริงๆเทรนเนอร์มวยไทยสมัยก่อนเขาก็จะเรียกกันว่ามือเป้า ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นตำแหน่งที่ใกล้ชิดกับนักมวยที่สุด ผมเลยอยากจะเป็นมือเป้ามากกว่า ก็ใช้วิชาความรู้จากการเป็นอดีตนักมวยกลายมาเป็นคนสอนมวยไทย ผมก็สอนคนอื่นแบบนี้แหละ แบบที่เห็นกัน เป็นสไตล์ของตัวเอง"
"คิดดูคนบวชมา 10 ปี ไม่ได้ทำอะไรแบบฆราวาส กลางคืนก็ไม่ได้เที่ยว เหล้าก็ไม่ได้กิน พอออกมากางเกงในก็ไม่เคยใส่ พอออกมาปุ๊บครั้งแรกเพื่อนพาไปเที่ยวผับทางฝั่งธนฯเลย แรกๆเราก็เขิน แต่ออกมารู้สึกว่าโลกมันเปลี่ยนไปเยอะ สึกมา 3-4 ปีแรกอยากกลับไปบวชเหมือนเดิมเลย แต่ตอนนี้ตัดสินใจออกมาแล้วต้องทนอยู่ เวลาหางานหาอะไรมันก็รู้สึกลำบาก จะไปหาสมัครงานที่อื่นเขาก็ไม่ค่อยรับ ต้องอาศัยเพื่อนเก่าๆที่เป็นนักมวยด้วยกันเอาเราไปฝากตามยิมมวยต่างๆ"
- สอนมวยฝรั่ง สู่การเป็นเทรนเนอร์ให้ "ซุปเปอร์บอน"
"เมื่อก่อนผมใช้ชีวิตอยู่สมุยเปิดสอนมวยอยู่ที่นั่น ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งที่มาเรียนแทบจะ 90 เปอร์เซนต์เลยนะ พอเขามาเรียนเขาก็เอาไปพูดปากต่อปาก บางคนถึงขั้นมีรายการชกก็มาให้ผมติวให้ จริงๆ ผมมีทุกวันนี้เพราะการเอาไปพูดกันปากต่อปากนะ ไม่ใช่จากตัวผมหรอก ผมก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว สั่งสมประสบการณ์มากว่า 10 ปี คือจริงๆ ผม กับ ซุปเปอร์บอน รู้จักกันมาก่อนแล้วสมัยที่เขาชกมวยไทยตั้งแต่เด็กๆ ตอนอยู่เวทีลุมพินี หรืออ้อมน้อย ตอนนั้นยังไม่ได้ร่วมงานกัน พอเขาเซ็นสัญญากับวัน แชมเปียนชิพ เขาเลยติดต่อมาให้เป็นเทรนเนอร์ ตอนแรกเขาก็บอกว่าอยู่ช่วยผมไปก่อน ถ้าเข้าขากันคุยกันได้เราก็อยู่กันไปเรื่อยๆนะ ผมก็โอเคตอบรับเขา ผมคิดว่าก่อนหน้านี้ทำฝรั่งมาเยอะแล้ว เลยเปลี่ยนมาทำคนไทยจริงจังดูบ้าง ต่างคนต่างมีเป้าหมาย และเราก็เข้ากันด้วยดีในสายงาน ก็อยู่กับเขามาจนถึงตอนนี้"
- โอกาสการกลับไปทวงเข็มขัดแชมป์โลกของ "ซุปเปอร์บอน"
"โอกาสผมว่ามีแน่นอน จริงๆแพ้ไฟต์ก่อนเราไม่ได้เสียหายอะไร สังเกตว่าทั้งสองคน (ซุปเปอร์บอน กับน้องโอ๋) เป็นการแพ้น็อกในยกแรก มวยยกที่หนึ่งมันยังไม่เห็นอะไรหรอกแต่คนมันโดนกันได้ บางทีแค่นัวๆกันก็ล้มลงไปกองแล้ว มันโดนกันได้ทุกคน มันยังไม่ได้เห็นฝีมือกันเต็มตัว แต่ถ้าเกิดได้ชกไปสามยก ห้ายก มันถึงจะรู้ว่าเราสู้เขาได้หรือไม่ได้ ตรงนี้เรายังมีโอกาสแก้ตัว ผมมองว่าเรามีโอกาสที่จะกลับไปแน่นอน"
"สำหรับ โจนาธาน แฮ็กเกอร์ตี ผมมองว่าเขาเป็นมวยที่เก่งนะ แต่ถ้าถามว่าอยากให้เจอกับใครก่อนก็คงอยู่ที่กระแสของผู้จัด กระแสของคนดู เขาเป็นคนเก่ง เรียนรู้อาวุธมวยไทยได้ดีแต่ก็มีจุดอ่อน แต่ตอนนั้นเจอน้องโอ๋เหมือนเขาเริ่มต้นได้ดีแล้วได้ใจ เครื่องกำลังร้อน เลยเป็นอย่างที่เห็น มวยเขาจุดอ่อนก็เยอะแต่เราก็ไม่อยากจะพูดตำหนิเขาเพราะว่าเราเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกัน มวยที่เราทำก็มีจุดอ่อน คู่ต่อสู้ก็มีจุดอ่อน ทุกคนมีจุดอ่อนหมด เพียงแต่ว่าเราทำงานเราจะแก้เกมกันอย่างไร"
- "เทรนเนอร์เก" ขอฝากแง่คิดการใช้ชีวิต
"เราสอนคนอื่นไม่ได้หรอก แต่เราให้คำแนะนำได้ เราทำให้เห็นได้ ให้กำลังใจได้ คนเราไม่ได้สอนกันง่ายๆ ดีชั่วต้องสำนึกเอง เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ติดคุกอย่างไร บาดเจ็บอย่างไร อดอย่างไร หิวอย่างไร ไม่มีใช้มันเป็นอย่างไร ขอความช่วยเหลือใครไม่ได้มันเป็นอย่างไร ต้องให้สัมผัสเอง แต่เมื่อเราได้ทำงานแล้ว เราต้องกำโอกาสเอาไว้ให้ดี ถ้าคุณไม่กำมันเอาไว้คุณก็เหมือนเดิม เตะลม อยู่ไปวันๆ อนาคตไม่มี ก่อนหน้านี้ผมก็ทำงานไปเรื่อยๆ และรอโอกาส ไม่ทิ้งโอกาส พอโอกาสมาแล้วเราต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำได้ ทุกคนจะมีสิ่งดีๆเข้ามาอยู่แล้วเพียงแต่คุณจะเก็บและรักษามันเอาไว้ได้หรือเปล่าแค่นั้นเอง"
- ชีวิตไม่อยู่กับที่ ติดต่อยากแต่ติดต่อได้
"90 เปอร์เซนต์ลูกศิษย์ผมเป็นคนต่างชาติ แต่ก็มีคนไทยมาเรียนบ้าง จริงๆไม่ใช่เพราะว่าผมสอนดุเกินไปนะ แต่คงเป็นเพราะผมไม่ค่อยอยู่กับที่ อาจจะติดต่อยากนิดหน่อย บางทีผมไม่ได้คุยเองจะให้แฟนคุยหมด ผมไม่ใช่หน่วยเจรจาถ้าไม่รู้จักก็อาจจะเข้าถึงยาก ผมใช้คำพูดไม่ค่อยเป็นกับคนที่ไม่ค่อยรู้จัก แต่ถ้าว่ารู้จักกัน เคยคลุกคลีกันผมก็แทบจะเหมือนเพื่อนเลย แต่ถ้าอยากติดต่อผมก็ติดต่อได้ทางอินสตาแกรมก็ได้ เฟซบุ๊กก็ได้ หรือซูเปอร์บอน เทรนนิ่ง แคมป์ กับ อีลิต ไฟต์คลับ ติดต่อได้หมดครับ"
และนี่ก็คือเรื่องราวของ "สุทัศน์ ม่วงมัน" หรือ "เทรนเนอร์เก" จากชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์ ต้องดิ้นรนจากการเป็นเด็กวัด ต่อยมวยหากินไปวันๆ เลิกมวยเพราะอาการบาดเจ็บ บวชเรียนถึง 10 ปี เกเรอย่างหนัก อบายมุขทุกอย่างจัดเต็ม ก่อนจะคัมแบ็คเข้าสู่วงการมวยไทยอีกครั้งจนเปลี่ยนชีวิต สามารถกอบโกยชื่อเสียงจนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสุดยอดเทรนเนอร์มวยที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของไทย