คอลัมน์ Buzzer Beat โดย MVP
สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานราว 40 วัน นิว ยอร์ก เจ็ตส์ บรรลุข้อตกลงเทรด แอรอน ร็อดเจอร์ส ควอเตอร์แบ็กซูเปอร์สตาร์แห่งศึกอเมริกันฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) และกลายเป็นตัวเต็งแชมป์ซูเปอร์โบว์ล LVIII (58)
นี่เป็นการย้ายทีมที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้มาหลายสัปดาห์ นับตั้งแต่ ร็อดเจอร์ส วัย 39 ปี ประกาศอย่างชัดเจนผ่านรายการโทรทัศน์ "เดอะ แพ็ท แม็คแคฟี โชว์ (the Pat McAfee Show)" และใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ ลีกคนชนคน น่าจะทราบมูลค่าของการแลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางความสงสัย เจ็ตส์ ควรเทรด ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 4 สมัย หรือไม่ และ กรีน เบย์ แพ็คเกอร์ส ควรปล่อยตัวหรือไม่
ตามข้อตกลงของการเทรด เจ็ตส์ ได้ ร็อดเจอร์ส, สิทธิ์ดราฟต์รอบแรก กับ รอบ 5 ปี 2023 และ แพ็คเกอร์ส ได้ สิทธิ์ดราฟต์รอบแรก, รอบ 2, รอบ 6 ปี 2023 และรอบ 2 ปี 2024 แบบมีเงื่อนไข (ร็อดเจอร์ส ต้องเล่น 65 เปอร์เซ็นต์ของการสแน็ปบอลตลอดฤดูกาล 2023)
เจ็ตส์ กำลังแบกรับความเสี่ยงมหาศาล โดยเสียสิทธิ์ดราฟต์สำคัญๆ และต้องเปย์ค่าจ้าง 59.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะฤดูกาล 2023 แก่ควอเตอร์แบ็กสิงห์เฒ่าคนหนึ่ง ที่เพิ่งจบฤดูกาล 2022 ด้วยผลงานตกต่ำสุดของอาชีพ
จุดสำคัญของการเทรด คือ แชมป์ซูเปอร์โบว์ล ถึงแม้ เจ็ตส์ มีขุมกำลังที่ดี แต่แชมป์ซูเปอร์โบว์ล ไม่ใช่เป้าหมายที่ เจ็ตส์ สามารถเอื้อมถึง ก่อนคว้าตัว ร็อดเจอร์ส ร่วมทีม แต่ตอนนี้ความคาดหวังเกิดขึ้นแล้ว
พิจารณาดีกรีของ ร็อดเจอร์ส ผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) 4 สมัย เท่ากับว่า เจ็ตส์ ได้ตัวสุดยอดควอเตอร์แบ็กตลอดกาลคนหนึ่ง แต่คนๆ นี้เป็นผู้เล่นคนเดียวกับคนที่จบซีซันด้วยควอเตอร์แบ็กเรตติง (QBR) เพียง 39.3 คั่นกลางระหว่าง แม็ตต์ ไรอัน กับ รัสเซลล์ วิลสัน ที่ฟอร์มแย่ตลอดฤดูกาลปกติ 2022 สาเหตุอาจเป็นได้ว่า แพ็คเกอร์ส ขาดการลงทุนตำแหน่งปีกนอก หรือกำลังเข้าสู่ช่วงตกต่ำของอาชีพ ฟังดูไม่ใช่ว่าไม่สมเหตุสมผลที่จะมองว่า ร็อดเจอร์ส ยังมีเหลือพิษสงอีกสัก 1-2 ปีข้างหน้า แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ และนั่นคือสิ่งที่ เจ็ตส์ กำลังเดิมพันอยู่
หาก ร็อดเจอร์ส เล่นได้ระดับเดียวกับฤดูกาล 2020 หรือ 2021 หมายความว่า เจ็ตส์ อาจก้าวมาเป็นเต็งแชมป์ซูเปอร์โบว์ล อย่างไรก็ตาม เจ็ตส์ ไม่ใช่ทีมระดับท็อปของดิวิชัน เอเอฟซี (AFC) ตะวันออก รองจาก บัฟฟาโล บิลล์ส และยังถูกมองว่าด้อยกว่า แคนซัส ซิตี ชีฟส์ และ ซินซินเนติ เบงกอลส์ ตามภาพรวมของคอนเฟอเรนซ์
สาเหตุที่ แพ็คเกอร์ส ยอมเทรดด้วย เพราะถึงเวลาเปลี่ยนมาเป็น จอร์แดน เลิฟ ควอเตอร์แบ็กดราฟต์รอบแรก ปี 2020 หากฝ่ายบริหารเชื่อมั่น เลิฟ สามารถทำหน้าที่ควอเตอร์แบ็กแห่งแฟรนไชส์ และต้องการมูฟออนจากควอเตอร์แบ็กว่าที่ ฮอลล์ ออฟ เฟม (หอเกียรติยศ) ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่ต้องได้รับผลตอบแทน ทั้งสิทธิ์ดราฟต์ และลดเพดานค่าจ้าง หลัง ร็อดเจอร์ส ผลงานแย่สุดครั้งหนึ่งของอาชีพ ตราบใดที่ยังทำได้
เจ็ตส์ ขาดอำนาจต่อรอง เพราะพวกเขาต้องการ ร็อดเจอร์ส เสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่มีตัวเลือกอื่นอย่าง ลามาร์ แจ็คสัน (ปักป้ายแฟรนไชส์แบบเจรจาทีมอื่นได้), จิมมี การ็อปโปโล (ตลาดฟรีเอเจนต์), ไรอัน ทานเนฮิลล์, เคิร์ก เคาซิน และ เทรย์ แลนซ์ (ตลาดเทรด) นอกจากนี้ เจ็ตส์ ยังกุมสิทธิ์อันดับ 13 ของการดราฟต์ปีนี้ แต่ไม่มีใครสร้างความแตกต่างแก่ทีมได้ทันทีเหมือน ร็อดเจอร์ส
ขณะที่ แพ็คเกอร์ส ขาดอำนาจต่อรองเช่นกัน พวกเขาต้องการมูฟออนจาก ร็อดเจอร์ส เพื่อเซฟรายจ่ายการันตี 59.5 ล้านเหรียญ ดังนั้นทางออกเดียวที่ กรีน เบย์ จะมีอำนาจต่อรอง คือ ทีมอื่นๆ ที่ต้องการ ร็อดเจอร์ส แต่ทีมๆ นั้นไม่มีตัวตน ไม่ว่าอย่างไร แพ็คเกอร์ส ยังสามารถเรียกร้องสิทธิ์ดราฟต์สำคัญๆ ของ เจ็ตส์ มาไว้ในมือได้
ร็อดเจอร์ส ไม่ได้มีมูลค่าสูงเกินจริงตามสัญญาปัจจุบัน เพราะเขาเซ็นสัญญาช่วงพีกของตลาดควอเตอร์แบ็ก ตามทฤษฎีเขาควรมีมูลค่าเพียงเล็กน้อยในแง่สิทธิ์ดราฟต์ แต่ตามโปรไฟล์มันสมเหตุสมผลว่า เจ็ตส์ ต้องยอมเสียเพื่อดึงเขามาร่วมทีม เนื่องจากเป็นผู้เล่นที่ดีสุดของตลาด และอาจยกระดับทีมถึงลุ้นแชมป์
นอกจากนี้ข้อตกลงการเทรดไม่ได้คุ้มครองถึงการรีไทร์ นี่เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับ เจ็ตส์ อาจเป็นการเสียสิทธิ์ดราฟต์รอบ 1 กับ 2 ปี 2023 และการันตี 59.5 ล้านเหรียญ แลกกับเวลาของ ร็อดเจอร์ส อย่างน้อย 1 ปี ถือว่าเป็นแผนการสร้างทีมที่ไม่เลว แต่ราคาที่ต้องจ่ายมันแพงเกินไป